–บทที่ 1–
ตอน: ความทรงจำของตะวัน
The past is strapped to our backs.
We do not have to see it;
We can always feel it.
Mignon McLaughlin
แสงสีทองโรยรายทาบทาขอบฟ้าทิศตะวันตกบางพลิ้ว
หมู่เมฆลอยฟ่องขาวโพลนระเรี่ยขุนเขาเทาทึบ
เหล่านกน้อยบินสู่รังผ่านดวงตะวันสีหมากสุกแลเห็นไหวๆ
ลมหนาวโชยชายผ่านมา
สัมผัสถึงกลิ่นหอมของละไอหมอกที่เริ่มก่อตัวเมื่อแสงแห่งวันใกล้ลาลับฟ้า
บนเนินเขาเตี้ยๆ
ที่ทอดออกไปไม่ไกลจากสายตา
เป็นที่ตั้งของตึกใหญ่
ยอดตึกลาดเอียงเป็นรูปสามเหลี่ยมฉาบด้วยสีฟ้าใส
ประดับสัญลักษณ์รูปกากบาทเป็นประกายแจ่มจ้าด้วยรัศมีแห่งตะวันยามอัสดง
รอบบริเวณ แห่งนั้นงดงามไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์
ทั้งจามจุรี พญาเสือโคร่ง
สุพรรณิการ์ และราชพฤกษ์
อีกทั้งสองข้างทางขึ้นลงแบบขั้นบันไดที่เชื่อมต่อตัวตึกกับถนนลาดยางแอสฟัลด์ด้านล่างก็งดงามไปด้วยดอกเฟื่องฟ้าชมพูเรื่อที่ไล่เรียงลดหลั่นกันลงมาเป็นทิวแถว
เด็กหนุ่มสูงโปร่งทอดสายตาไปยังโบสถ์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเบื้องหน้า
ไกลพ้นออกไปคือภูเขาเทาทึมภายใต้แสงสีส้มใกล้ขอบฟ้า
หนุ่มคมเข้มคนนั้นยืนพาดแขนบนราวระเบียงชั้นบนสุดของหอพักนักศึกษาชายหนึ่งแห่งวิทยาลัยนานาชาติที่ซ่อนซุกอยู่ในอ้อมอกของขุนเขา
ณ เมืองเล็กๆ
แห่งที่ราบภาคกลางตอนล่างติดเขตแดนอีสานอันรายล้อมไปด้วยฟาร์มโคนมและไร่องุ่นชอุ่มเขียว
หลายเดือนแล้วสินะ
ที่เด็กหนุ่มคนนี้ตัดสินใจมาเรียนที่นี่
เพียงขับมอเตอร์ไซด์ผ่านมาเมื่อปลายฤดูหนาวของปีก่อน
เขาก็หลงเสน่ห์ของวิทยาลัยกลางหุบเขาแห่งนี้เสียหมดสิ้น
มันดูสงบเงียบและสวยงามราวสาวน้อยวัยแรกรุ่นที่สดใสในทุกมุมมอง
อีกทั้งบรรยากาศของเมืองก็แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ละม้ายคล้ายคลึงกับภาคหนือตอนบนของประเทศจนรู้สึกประหนึ่งได้มายืนอยู่บนยอดดอยอินทนนท์แล้วกอดอกอุ่นสัมผัสอากาศหนาวเย็นบาดเยือก
สูดอากาศเข้าปอดเต็มอึดเต็มก้อนแล้วเฝ้ามองสายหมอกหนาหนักที่ลอยกรุ่นกร่นอ้อยอิ่งอยู่ตามหุบเขาเทาครึ้ม
อา...เด็กหนุ่มให้รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจยิ่งนักทุกครั้งที่ได้สัมผัสบรรยากาศเช่นนั้น
เขากวาดสายตาไปโดยรอบอีกครั้ง
ตึกวิทยาศาสตร์สีขาวเข้มตั้งเด่นอยู่ตรงหัวถนนฝั่งตรงข้ามเนินเขาลูกเล็ก
บริเวณใกล้กันนั้นเป็นตึกแอดมินฯ
ของคณะมนุษยศาสตร์
ถัดไปคือตึกไอทีซึ่งทอดยาวคู่ขนานไปกับตึกวิทยาศาสตร์
ศูนย์กลางการเรียนรู้ของวิทยาลัยเพราะภายในนั้นเป็นที่ตั้งของห้องสมุดและคอมพิวเตอร์แล็บซึ่งมักคราคร่ำไปด้วยนักศึกษาที่มาทำการบ้านและอ่านหนังสือกันที่นี่
ไกลออกไปอีกนิดเป็นศาลาทรงไทยฉลุเชิงชายโดยรอบสวยงามโดดเด่นอยู่ระหว่างมุมท้ายสุดของตึกไอทีและโรงอาหารที่ตั้งแยกออกมาเป็นเอกเทศ
และตรงกลางของตึกและอาคารทั้งหลายนั้นก็คือหอประชุมขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ
ในแต่ละสัปดาห์
ตะวันลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว
ลมหนาวพัดพรูผ่านผิวแผ่วโผย
หมอกขาวบางกรุ่นโรยสายรายรอบ
ความมืดเริ่มคลี่ปีกโอบกอดทั่วบริเวณ
สป็อตไลท์ในสนามฟุตบอลฝั่งตรงข้ามหอชายหนึ่งสว่างวาบสาดลำแสงลงสู่กลางสนามจนแลเห็นนักศึกษาชายหลายคนวิ่งวุ่นไล่เตะฟุตบอลกันเต็มลาน
บนลู่วิ่งรอบสนามปรากฏเด็กสาวและชายหนุ่มเดินกันเป็นกลุ่มๆ
บ้างแลเป็นคู่ๆ บ้างสลับคละกลืนกันไป
เมื่อเหนื่อยจากการเดินและเล่นกีฬาต่างพากันมานั่งพักตรงอัฒจรรย์ติดตึกสโมสรนักศึกษาและภายในตัวตึกแห่งนั้นนอกจากเป็นศูนย์ทำการของคณะกรรมการนักศึกษาแล้วยังเป็นห้องฟิตเนสและร้านขายอาหารตามสั่ง
(ที่มีไม่กี่เมนู)
ของนักศึกษาคณะบริหารอีกด้วย
แสงไฟจากโคมข้างถนนที่ทอดยาวผ่านหอชายหนึ่งสว่างนวลแลเห็นควันขาวกรุ่นกร่น
ไล่เรียงไปตามถนนสายนั้นก็จะเป็นหอหญิงสอง
ถัดจากหอหญิงสองก็เป็นหอหญิงหนึ่งและไกลพ้นออกไปติดป่าละเมาะบนสุดนั้นก็คือหอชายสองนั่นเอง
เสียงดังเฮฮาแจ่มจ้าลอยมาจากสนามบาสเก็ตบอลฝั่งตรงข้ามหอหญิงทั้งสองตึก
เหล่าเด็กหนุ่มและเด็กสาวต่างเล่นสนุกกันเริงร่าท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บแห่งปี
๒๕๔๗
หนุ่มร่างสูงทอดมองภาพเหล่านั้นอย่างชุ่มชื่นอุรา
มหาวิทยาลัยในเมืองหลวงที่เขารู้จักและคุ้นเคยมาแต่เยาว์วัยช่างแตกต่างจากสถาบันกลางหุบเขาแห่งนี้เหลือเกิน
นับจากวันที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐฯไม่ได้
เขาก็ตะลอนท่องเที่ยวไปทั่วประเทศเป็นแรมปี
จวบจนฤดูหนาวปลายปีก่อน
เขากับเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันได้ขับมอเตอร์ไซด์จากเมืองหลวงมาเที่ยวทุ่งทานตะวันในดินแดนแห่งนี้และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตการศึกษาของเขาซึ่งทำให้เด็กหนุ่มผู้รักความอิสระเสรีได้มาศึกษาเล่าเรียนในสถาบันที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มแห่งมิตรภาพจากผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมากกว่าสามสิบประเทศและได้ดึ่มด่ำธรรมชาติอย่างเต็มชื่นเต็มอกเสียที
เพียงแค่นั้นก็ทำให้เขา
นายตะวัน
หลงไหลจนไม่อยากจากไปยังดินแดนแห่งไหนอีกแล้ว
“กริ๊ง
กริ๊ง กริ๊ง...”
เสียงอ็อดประจำหอพักกริ่งกร่างระรัวขึ้น เป็นสัญญาณบอกเวลานมัสการภาคค่ำของวันจันทร์ วิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถาบันอุดมศึกษานานาชาติของคริสจักรเซเว่นเดย์แอ๊ดเวนติสท์ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมุ่งเน้นคุณธรรมและจริยธรรมอันเป็นพื้นฐานสำคัญเพื่อให้เกิดดุลยภาพของวิถีชีวิต นักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรของสถาบันจึงได้รับการอบรมปลูกฝังในเรื่องการสร้างจิตสำนึกต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมผ่านกิจกรรมต่างๆ ในวิทยาลัยอยู่เสมอ นมัสการวันจันทร์ จึงมิใช่แค่เพียงการประชุมเพื่อชี้แจงกฏระเบียบและเรื่องสำคัญทั่วไปแก่นักศึกษาเท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาเสริมสร้างให้เด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้ซึ่งมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขภายใต้หลักคุณธรรมและจริยธรรมนำใจ
เสียงอ็อดประจำหอพักกริ่งกร่างระรัวขึ้น เป็นสัญญาณบอกเวลานมัสการภาคค่ำของวันจันทร์ วิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถาบันอุดมศึกษานานาชาติของคริสจักรเซเว่นเดย์แอ๊ดเวนติสท์ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมุ่งเน้นคุณธรรมและจริยธรรมอันเป็นพื้นฐานสำคัญเพื่อให้เกิดดุลยภาพของวิถีชีวิต นักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรของสถาบันจึงได้รับการอบรมปลูกฝังในเรื่องการสร้างจิตสำนึกต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมผ่านกิจกรรมต่างๆ ในวิทยาลัยอยู่เสมอ นมัสการวันจันทร์ จึงมิใช่แค่เพียงการประชุมเพื่อชี้แจงกฏระเบียบและเรื่องสำคัญทั่วไปแก่นักศึกษาเท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาเสริมสร้างให้เด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้ซึ่งมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขภายใต้หลักคุณธรรมและจริยธรรมนำใจ
สปอร์ตไลท์ในสนามฟุตบอลและสนามบาสเก็ตบอลปิดพรึ่บลงทันทีภายหลังเสียงอ็อดกังวานขึ้นอีกหน
นักศึกษาต่างทยอยเดินกลับหอพักของตัวเองอย่างอ้อยสร้อย
ตะวันเดินเข้าไปในห้องเพื่อเตรียมตัวไปนมัสการที่หอประชุมประจำวิทยาลัย
นมัสการวันจันทร์
ถูกจัดที่หอประชุมฯ
ในสัปดาห์แรกของทุกเดือน
จากนั้นจะแยกกิจกรรมนี้ไปตามหอพักของแต่ละหอ
พอถึงคืนค่ำของวันศุกร์
หอประชุมฯก็จะคราคร่ำไปด้วยนักศึกษา
คณาจารย์ และพนักงานของวิทยาลัยที่เข้าร่วมรายการ
‘Vesper’
หรือการนมัสการของค่ำคืน
‘วันสะบาโต’ อีกครั้ง
เพื่อเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจของเหล่าคริสศาสนิกชนก่อนการไปโบสถ์ในเช้าวันรุ่งขึ้น
เหล่านี่คือกิจกรรมที่ตะวันไม่เคยพานพบมาก่อน
คือความรู้สึกแปลกใหม่และน่าค้นหายิ่งนัก
“บิ๊ก
อาบน้ำเร้วๆ เข้า อย่าให้ข้ารอนานดิ”
ตะวันรีบเร่งคนที่กำลังเมามันกับการแร็พเพลงกวนๆ
ของสามหนุ่มมาดเท่ห์แห่งวงไททาเนี่ยมอยู่ในห้องน้ำผ่านลำเสียงลึกใหญ่ราวเสียงเบสของกีตาร์
คนที่อยู่ภายในนั้นยังคงโอ้เอ้อึดอาดไม่เร่งรีบทำภารกิจแต่อย่างใด
“เออ
เออ จะรีบอาบแล้ว
ระหว่างรอก็ฟังข้าแร็พไปพลางๆ
ก่อนแล้วกัน”
ด้วยความหมั่นใส้
ตะวันเลยสวนกลับทันควัน
“ขอบใจว่ะ
แต่ช่วยหยุดแร็พแล้วรีบวิ่งผ่านน้ำเร็วๆ
เข้าซะ ข้าไม่มีเวลามาฟังเองบ่นงึมๆ
งำๆ อยู่ในนั้นหรอกนะเว้ย”
พูดจบก็มีเสียงฮาครืนใหญ่ตามมาทันที
ก่อนเสียงน้ำจากฝักบัวจะดังซู่ขึ้นแทนที่
‘บิ๊ก’
เป็นรูมเมทของตะวัน
เด็กหนุ่มหุ่นตุ๊ต๊ะ
ร่ำรวยอารมณ์ขันคนนี้คลั่งไคล้วงไททาเนียมและสไตล์การแต่งตัวแบบฮิพฮอพจนขึ้นสมอง
เขาเคยข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนไกลถึงออสเตรเลียสมัยเป็นนักเรียนผมเกรียน
ภายหลังเรียนจบไฮสกูลก็แบกน้ำหนักราวแปดสิบกิโลฯ
กลับแผ่นดินข้าวเหนียวสร้างความงวยงงสงกาแก่พ่อแม่และญาติพี่น้องว่า
‘ตัวมัน’ ไปเรียนหรือไปกินหมีโคอาล่ากันแน่
กลับมาถึงได้อ้วนพีเป็นไหต่อม่อเช่นนั้น
หอประชุมประจำวิทยาลัยเป็นห้องโถงขนาดใหญ่
ด้านหน้าเป็นเวทียกพื้นสูง
สปอร์ตไลท์หลากสีติดไว้ใกล้เพดานขนานเป็นทางไปกับเวที
และชั้นสองติดทางเดินเข้า-ออก
เป็นห้องควบคุมระบบแสง สี
เสียง เมื่อมองจากชั้นนั้นลงมา
จะเห็นนักศึกษานั่งเรียงตามเก้าอี้ซึ่งจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเต็มความจุของพื้นที่
อวลไอแอร์เย็นฉ่ำไปทั้งห้อง
สป็อตไลท์ฉาดฉายลงมาตรงเวที
เผยกลุ่มนักร้องชาย-หญิงสี่ซ้าห้าคนกำลังขับเสียงเพลงพระเจ้าอยู่หลังไมค์ด้วยเนื้อร้องภาษาอังกฤษ
น้ำเสียงนั้นไพเราะจับใจไม่น้อย
In
moments like these,
I
sing out a song.
I sing out a love song to Jesus
I sing out a love song to Jesus
ตะวันและบิ๊กนั่งอยู่ตรงแถวหลังสุดใกล้กับเพื่อนในกลุ่มอีกสามคน
คือ โป้ง
แม็กและจ๋อม
เด็กสาวคนเดียวที่หลงเข้ามาในกลุ่มนี้
ผู้มีตาเล็กหยิบหยีและเออออห่อหมกไปเสียทุกเรื่อง
โป้งเป็นเด็กหนุ่มหุ่นเพรียวบาง
ผิวขาวสะอาดแต่ไม่กระตุ้งกระติ้งผิดธรรมชาติของความเป็นชาย
ส่วนแม็กนั้นเป็นคนตัวสูง
ผิวคล้ำ ร่างกายกำยำอย่างนักกีฬาว่ายน้ำ
ทั้งห้าร่วมหัวจมท้ายอยู่ในคณะที่เรียกขานกันทั่วไปว่า
มนุษย์อิ้ง
“ขอให้เพื่อนนักศึกษาทุกคนยืนขึ้นเพื่อร้องเพลงเปิดพร้อมกันครับ”
ตัวแทนนักร้องคนหนึ่งกรอกเสียงลงไปในไมโครโฟน
นักศึกษาต่างลุกขึ้นพร้อมกัน
จากนั้นเสียงเปียโนก็บรรเลงตามมาด้วยท่วงทำนองที่คุ้นเคย...
วันเวลาที่เปลี่ยนไป
พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง
มีความรักและเมตตาอยู่เสมอ
ตัวเราอาจจะหวั่นไหว
พระองค์ยังเหมือนเดิม
เป็นพระเจ้าของเราอยู่เรื่อยไป
พระองค์ทรงสมควร...
เมื่อเสียงเพลงจบลง
เด็กหนุ่มคนเดิมก็โยกขาไมค์ฯเข้าใกล้ตัวเพื่อกล่าวคำอธิษฐานเปิด
นักศึกษาประสานมือไว้ตรงต้นขา
ก้มหน้าลงเล็กน้อย หลับตา
แล้วเงียบเสียงลง
เมื่อสิ้นสุดคำอธิษฐาน
ลงท้ายด้วยอาเมนฯ
นักศึกษาต่างก็นั่งลงตรงเก้าอี้ของตัวเอง
ส่วนกลุ่มนักร้องก็เดินลงมาจากเวที
สักพักก็มีชายหนุ่มสองคนก้าวเท้าขึ้นไปยืนอยู่หลังโพเดียมที่มีไมโครโฟนสองตัวติดไว้อยู่
คนหนึ่งหุ่นตุ๊ต๊ะ
อีกคนผอมกะหร่องลมแทบพัดปลิว
หนุ่มอ้วนกล่าวขึ้นด้วยภาษาอังกฤษเร็วปรื๋อ
ส่วนหนุ่มผอมทำหน้าที่เป็นล่ามถอดข้อความของภาษาต้นทางเป็นภาษาปลายทางชัดถ้อยชัดคำ
“สวัสดีเพื่อนๆ
นักศึกษาทุกคน
ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสจากพ่อบ้านให้นำนมัสการในค่ำคืนนี้”
“รู้สึกดีใจที่เห็นรอยยิ้มแจ่มจ้าของพวกเราและขอขอบคุณคณะนักร้องที่ขับกล่อมเสียงเพลงอันไพเราะเพราะพริ้งจนข้าพเจ้าไม่อยากให้รีบลงไปจากเวทีเลย
ให้ตายเหอะ” มีเสียงหัวเราะแทรกขึ้นมาระหว่างนี้
“ภายหลังรับประทานอาหารมือเย็นกันไปแล้ว
ตอนนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับอาหารฝ่ายจิตวิญญาณกันบ้าง...
ทั้งหอประชุมเงียบสงบ
ทุกคนนั่งนิ่งฟังหนุ่มพ่วงพีฝีปากดีคนนั้นพูดราวถูกมนต์สะกด
“นักปราชญ์ในอดีตกล่าวว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ
นักเคมีวิทยากล่าวไว้ว่า
ถ้าเอาร่างกายของมนุษย์มาแยกธาตุต่างๆ
ออก และตีค่าด้วยเคมีแล้ว
จะมีค่าแค่ 20
บาทเท่านั้น
แต่นักวิทยาศาสต์กลุ่มหนึ่งกลับเชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์และวิวัฒนาการเรื่อยมาจนกลายเป็นมนุษย์สายพันธ์โฮโม
เซเปียนส์ อย่างในปัจจุบัน....”
ในค่ำคืนนั้นตะวันและผองเพื่อนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องแล็บของภาควิชาชีววิทยาที่มีอาจารย์ผมยาวเคราครึ้มพานั่งยานไทม์แมชชีนของโดราเอมอนข้ามผ่านมิติเวลาสู่โลกดึกดำบรรพ์เมื่อหลายล้านปีก่อนแล้วยานลำเดียวกันนั้นก็ทะลุทะลวงผ่านเส้นบิดงอของ
อวกาศเวลา
สู่ยุคการสร้างจักรวาลและพาไปพบกับมนุษย์ชาย-หญิงคู่แรกตามหลักความเชื่อของคริสต์ศาสนา
ก่อนที่บทสรุปจะลงเอยที่ความรักของพระเยซูคริสต์เจ้าผู้ยอมวายชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ทุกคน
ตะวันรู้สึกชื่นชมหนุ่มอ้วนกลมคนนั้นเสียมิได้
ลีลาการพูดของเขาตรึงทุกคนในหอประชุมให้นิ่งฟังได้ราวกับเขาเป็น
เจย์ เลโน เจ้าพ่อรายการทอล์คโชว์ชาวอเมริกัน
เขาก้าวลงจากเวทีพร้อมหนุ่มผอมกล้องแกล้งแต่คล่องแคล่วปราดเปรียว
มีเสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้น
จากนั้นพ่อบ้านผอมสูง
มีเรียวหนวดหร็อมแหร็มรอบริมฝีปากหน้าตาผิวพรรณออกไปทางแถบแถวกาฬทวีปพร้อมคู่หูหนุ่มวัยฉกรรจ์ก้าวขึ้นไปครองแท่นโพเดียมแทน
แล้วประกาศสำคัญต่างๆ
ก็ถูกยกขึ้นมาชี้แจงตามด้วยกฏระเบียบหยิบย่อยหลายสิบข้อ
การประชุมยึดยาวออกไปหลายสิบนาที
นักศึกษาหลายคนเริ่มกระสับกระส่าย
หันไปคุยกันเสียงดังมากขึ้น
จนพ่อบ้านผิวหมึกต้องขึงตาวาวเข้าใส่จึงได้เงียบเสียงลง
บิ๊กลุกขึ้น
บอกเพื่อนๆ ว่าจะเข้าห้องน้ำ
จากนั้นก็เดินดุ่มๆ ออกไป
สักชั่วลัดนิ้วมือไฟในหอประชุมก็ดับพรึ่บลงมีเสียงฮือฮาลั่นฮอลล์จนพ่อบ้านต้องสั่งปิดประชุมอย่างอารมณ์เสียแล้วเร่งนักศึกษาให้รีบกลับเข้าหอพัก
ตะวัน โป้ง
แม็กและจ๋อมเดินออกมาเจอบิ๊กยืนยิ้มยิงฟันอยู่ตรงประตูเข้า-ออกของหอประชุม
ด้วยความสงสัยตะวันจึงเอ่ยขึ้น
“เองบ้ารึเปล่า
ยืนยิ้มอยู่คนเดียว”
“ไอ้คนที่บ้าอ่ะ
ยืนตีโพยตีพายอยู่บนนู๊นน...”
บิ๊กทำปากจู๋บุ้ยใบ้ไปทางพ่อบ้านที่กระฟัดกระเฟียดกับนักศึกษาฝ่ายควบคุมแสง
สี เสียง อยู่บนเวที
เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นต่างหัวร่องอหาย
“ที่ข้ายิ้มอ่ะ
ก็แค่สะใจเท่านั้นเอง”
“สะใจเรื่องอะไรวะ”
แม็กโพล่งขึ้นพร้อมแววตาสงสัยของเพื่อนๆ
“ข้าแอบย่องไปตัดสายไฟที่ต่อจากหม้อแปลงก็แค่นั้น”
ทุกคนตะลึงงันกับคำสารภาพที่ไม่สะทกสะท้านของหนุ่มฮิพฮอพรายนี้
ไม่นึกว่ามันจะกล้าบ้าบิ่นเอาชีวิตไปเสี่ยงตัดสายไฟเพียงเพราะอยากกลับไปนอนตีพุงฟังเพลง
Mosh
ในอัลบั้มล่าสุดประจำปี
๒๕๔๗ ของ Eminem
ที่วิพากษ์วิจารณ์
จอร์จ ดับเบิล ยู บุช
จนหาทางกลับบ้านไม่ถูก
งานนี้พ่อบ้านผิวหมึกเจอฤทธิ์เดชสาวกฮิพฮอพ
เล่นงาน
เข้าเสียแล้ว
เรื่องจริงผ่านตัวหนังสือ ^^
ReplyDeleteใช่ครับ confirm เลย นศ. ที่นี่ มีดีกว่าที่คุณๆ คิด หุหุ
ReplyDelete