Thursday, January 20, 2011

วัยฝัน วันวาน และรักของเรา บทที่ 2



-บทที่ 2-
ตอน: โอ้...เจ้าดอกสุพรรณิการ์

สุเอ๋ยสุพรรณิการ์ ดอกฟ้าแย้มระลอกในหมอกหวาน

ดอกเจ้าหนาวราวจะดับให้ลับลาน อีกไม่นานเจ้าต้องลาเมื่อคราโรย

ดอกเจ้าเอ๋ยสูงส่งระหงสวย หากต้องม้วยมรณานิจจาโหย

กลีบอรุณหลุดราน้ำตาโปรย สุพรรณโรยโบยบายในสายลม

นางสาวอีฟ น.ส


วันนั้นเป็นเช้าวันอาทิตย์ หมอกขาวโพลนลอยอ้อยอิ่งระเรี่ยขุนเขา ลมหนาวพัดพรูผ่านมา

กรีดลึกจนถึงกระดูก หมู่นกโผผินบินสู่ขอบฟ้าอันไกลพ้นส่งเสียงเจื้อยแจ้วแสนปรีดา สุพรรณิการ์ชูช่อเหลืองอร่ามเบ่งบานเต็มต้นอยู่ริมถนนหน้าหอชายหนึ่ง เสียงลมหนาวพัดหวู่หวิวอยู่ในอากาศ สายหมอกลอยต่ำลงระเรื่อยเมื่อถูกขับไล่จากแสงตะวันดวงโตที่กำลังโผล่พ้นภูเขา



ตะวันในชุดกางเกงวอร์มสีเทาบาง สวมเสื้อแขนยาวมีฮูด วิ่งเหยาะๆ ไปตามลู่วิ่งสนามฟุตบอลราวนักกีฬาที่กำลังอบอุ่นร่างกายเพื่อลงชิงชัยแข่งขัน เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ตะวันตื่นตั้งแต่ตีนฟ้ายังไม่เปิด ในขณะที่รูมเมทร่างใหญ่นอนหลับสบายอยู่ในผ้าห่มอุ่นหนา เขาตื่นขึ้นมาเพื่อสัมผัสละไอหมอกที่ลอยฉ่ำชื่นอยู่ในอากาศ วิ่งฝ่าความหนาวเหน็บจนแลเห็นควันกรุ่นบางออกมาตามลมหายใจ ใช่เพียงแต่ลมหนาวและสายหมอกที่ปลุกเด็กหนุ่มให้ยอมแคะขี้ตาเม็ดเขื่องลุกขึ้นมาวิ่งในตอนเช้า หากยังมีเด็กสาวเพราพริ้งอีกคนที่เป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดเจ้าคนร่างสูงให้ออกวิ่งตามอย่างไม่ลดละ ความน่ารักของเด็กสาวเปรียบไปก็เหมือนดั่งสุพรรณิการ์อร่ามเหลืองที่พลิ้วไสวอยู่บนยอดต้นส่งกลิ่นหอมรวยระรินยวนยั่วเหล่าแมลงภู่ให้หลงไหลจนยากจะถ่ายถอน

สุพรรณิการ์หรือดอกฝ้ายคำเป็นดอกไม้ประจำวิทยาลัยแห่งนี้ กล่าวกันว่าถ้าปีไหนสุพรรณิการ์ออกดอกบานสะพรั่งต้น ในปีนั้นจะมีนักศึกษาเรียนจบเป็นจำนวนมาก ดอกสีเหลืองช่อนี้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของตะวันมิลืมเลือนเช่นเดียวกับเด็กสาวผมยาวหน้าหมวยคนนั้นที่ยังประทับอยู่ในใจของตะวันเรื่อยมา การพบกันของทั้งสองคนเกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่งแห่งกาลต้นหนาวในปี ๒๕๔๗ ณ สนามฟุตบอลที่งดงามด้วยต้นหญ้าชอุ่มชุ่มเขียวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์โฆษณาน้ำหอมดับกลิ่นกายยี่ห้อหนึ่งและกล่าวกันว่ามีรุ่นพี่บางคนได้ร่วมแสดงในภาพยนต์โฆษณาดังกล่าวนั้นด้วย 

 



วันนั้นเป็นเช้าที่อากาศเย็นบาดเยือกแม้แต่นกก็คร้านจะกวักปีกบินออกจากรัง ม่านหมอกหนาหนักอวบอวลอยู่ทั่วบริเวณ นักศึกษาหลายคนยังคงนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนอุ่น ผิดแผกจากตะวันที่ลุกขึ้นมาวิ่งรอบสนามฟุตบอลในเช้าที่ไม่ต้องรีบเร่งไปชั้นเรียนและในตรู่นั้นเองที่เด็กหนุ่มสูงโปร่งคนนี้ได้พบกับสาวหน้าหมวยในชุดกางเกงขายาวสีเทานวล เสื้อยืดสีขาวแขนยาว



เมื่อวิ่งฝ่าม่านหมอกหย่อมหนึ่งออกมา ตะวันก็แลเห็นเด็กสาวหุ่นสวยทรงผมรวบเกล้าวิ่งเหยาะๆ อยู่ข้างหน้าห่างจากเขาประมาณห้าสิบเมตร เสียงลมหนาววู่หวิวได้ยินถนัดถนี่ หัวใจของเด็กหนุ่มเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อวิ่งใกล้เข้ามาที่ระยะความห่างยี่สิบเมตร ไม่ทันวิ่งผ่านเธอไป เด็กสาวหุ่นเพรียวงามคนนั้นก็หันมามองตะวันด้วยสายตาที่ทำให้เด็กหนุ่มขี้อายคนนี้แทบเข่าทรุดหมดแรงวิ่งขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน อากาศที่ว่าหนาวยะเยือกจนถึงกระดูกนั้นยังพ่ายแพ้เสน่ห์ของแม่สาวพราวพรายคนนี้ ตะวันหยุดวิ่ง หัวใจเต้นถี่กระชั้น เด็กสาวหันหลังกลับไปด้วยรอยยิ้มเขินอาย ให้ดิ้นตายเหอะ! รอยยิ้มของหล่อนทำให้ตะวันแทบคลั่ง เขาสองจิตสองใจว่าจะวิ่งตามเธอไปหรือวิ่งจ้ำอ้าวกระโดดผลุงลงสระน้ำข้างหอให้หายบ้าคลั่งเสียที ไม่ทันได้ตัดสินใจแต่อย่างใด เจ้าหล่อนก็เดินกลับเข้าหอพักไปเสียแล้ว

เด็กหนุ่มเก็บใบหน้าแฉล้มแช่มช้อยของเด็กสาวไปนอนฝันถึงทุกเมื่อเชื่อยาม เขาตื่นแต่เช้าเพื่อหวังจะได้พบสาวหมวยคนนั้นอีกครั้งที่สนามฟุตบอล แต่หกวันที่ผ่านมาก็ไม่ปรากฏแม้แต่เงาของสาวเจ้าคนนั้น ราวว่าเธอเป็นเพียงสายลมหนาวที่พัดผ่านมาแล้วก็พลิ้วผ่านไปอย่างไร้ตัวตนสร้างความวุ่นวายใจแก่เด็กหนุ่มจนนอนไม่หลับ แต่ในเช้าวันนี้ เมื่อสายหมอกเริ่มจางหาย แดดกรุ่นอ่อนเริ่มโรยราย ตะวันก็ได้พบกับเด็กสาวคนนั้นอีกครั้ง...



เธอหยุดยืนอยู่ตรงโค้งลู่วิ่งก่อนถึงจุดสตาร์ทใกล้อัฒจรรย์ติดตึกสโมสรนักศึกษา ตะวันวิ่งมาทางด้านหลังของเธอในระยะไม่เกินยี่สิบเมตร เพียงเห็นร่างเล็กสมส่วนผมเกล้าเรียบร้อยตรงหน้านั้น หนุ่มสูงโปร่งก็สั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย หัวใจเต้นโครมครามราวจะทะลุออกมาจากอก ตะวันทำท่าจะถอยกลับ แล้วใส่ตีนหมาโกยอ้าวแต่ต้องหยุดกึกสะดุ้งยึกเมื่อแว่วเสียงแพรวพราวเอ่ยทักทาย

สวัสดีตอนเช้าค่ะ’

เจ้าของเสียงนั้นหันมาทักทายกับหนุ่มขี้อายที่บัดนี้ยืนแข็งทื่อมือเท้าแทบไม่กระดิกกระเดี้ย หัวใจเต้นถี่กระชั้นแรงขึ้น คนถูกทักตะลึงงันก่อนเอ่ยทักทายกลับไปอย่างตะกุกตะกักด้วยความเขินอายอย่างหมดท่าจนอีกฝ่ายคลี่ยิ้มบนใบหน้าอย่างไม่เคอะเขินและในเช้าวันนั้นตะวันก็ได้รู้จักสาวหมวยที่เฝ้าติดตามมาตลอดสัปดาห์

ความน่ารักของเด็กสาวคงเปรียบได้กับความงามของดอกสุพรรณิการ์ ยามได้เอิบอาบสายหมอกตอนเช้า ดวงดอกช่างงามละมุนอุ่นใจเหลือเกิน…

เด็กสาวร่างเล็กสมส่วนคนนั้นชื่อว่า นิศาชล หรือว่า ดิว เธอเป็นลูกครึ่งไทย-ไต้หวัน เพิ่งย้ายมาเรียนที่วิทยาลัยแห่งนี้ไม่นานนัก เมื่อได้สัมผัสบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก ณ สถานที่แห่งนี้ เด็กสาวก็หลงเสน่ห์จนถอนตัวไม่ขึ้น

สองหนุ่มสาวเดินทอดน่องรอบสนามฟุตบอล ตะวันโผล่หัวขึ้นแต่งฟ้าเปล่งรัศมีแจร่มแฉกฉาน เหล่านกกาโบยบินออกจากรังส่งเสียงเจื้อยแจ้วแจ่มใส

ดิวรู้จักวิลัยนี้ได้ยังไง” ตะวันเอ่ยถามนิศาชลที่เดินอยู่เคียงข้าง อาการเก้อเขินหายไปสนิท

ก็รู้จักจากโรงเรียนเก่า”

เป็นโรงเรียนในเครือของแอ๊ดเวนตีสท์รึเปล่า”

อืม”

นิศาชลพยักหน้าพร้อมหันมามองคนที่ถามด้วยรอยยิ้มแจ่มจ้า ใบหน้าที่ขาวกระจ่างแต้มแต่งด้วยดวงตาที่เป็นประกายแพรวพราว ทำให้เจ้าหนุ่มร่างสูงอยากกระโดดกัดหูตัวเองให้หายบ้าอีกครั้ง ความน่ารักน่าชังของเด็กสาวทำให้ตะวันรู้สึกประหลาดล้ำอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต

แล้วทำไม...ถึงเลือกมาเรียนที่นี่ล่ะ” เจ้าหนุ่มคมเข้มเอ่ยถามทั้งที่จังหวะหัวใจยังไม่ลดความถี่กระชั้นลง เขาพยายามซ่อนเร้นอาการเหนียมอายที่เริ่มผุดพรายขึ้นมาอีกหน

ดิวชอบความสงบของวิ’ลัยนี้ ธรรมชาติก็สวย อากาศก็ดี”

เด็กหนุ่มฟังเธอเล่าอย่างชื่นชม น้ำเสียงของเด็กสาวอ่อนละมุนจับใจยิ่งนัก

เราแบกแพ็คตะลอนท่องเที่ยวไปทั่วไทย ยังไม่ประทับใจที่ไหนเหมือนที่นี่เลยน่ะ” ตะวันเอ่ยสัมทับ มีความภาคภูมิอยู่ในที

นี่นายชอบเที่ยวแบบแบกแพ็คเหมือนกันเหรอ เราก็ชอบน่ะ เล่าให้ฟังหน่อยดิว่าไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง”



แล้วบทเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเด็กสาวกับชายหนุ่มก็เริ่มขึ้นนับแต่เช้าวันนั้น ดอกสุพรรณิการ์พลิ้วไหวระบำไปตามสายลมหนาว แดดอ่อนบางกรุ่นแสงโดยรอบ ผีเสื้อและมวลหมู่แมลงมีปีกบินฉวัดเฉวียนอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ และบนท้องฟ้าสีครามกระจ่างใส ก็ปรากฏเหล่าวิหคร่อนถลาไปมาอย่างอิสระเสรี

เมื่อความรักบังเกิดขึ้น โลกก็พลันสดใส ตะวันกับดิวพูดคุยกันทางโทรศัพท์ที่พ่วงสายระหว่างห้องทุกค่ำคืนก่อนหลับนอนฝันหวาน ทั้งสองแบ่งปันเล่าเรื่องของกันและกันแล้วหัวเราะเฮฮากันไปตามประสา สร้างความอิจฉาตาร้อนแก่เจ้าบิ๊กที่นั่งกินกระเพราไก่กรอบพูนจานอยู่ตรงโต๊ะของตัวเองจนหนุ่มผิวเข้มเพื่อนร่วมห้องถูกค่อนแคะต่างๆ นานา และทุกเช้าก่อนไปเรียนตะวันจะยืนรอดิวอยู่ตรงหน้าหอชายหนึ่งเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมหอบางคนที่คอยชะแง้แลมองหญิงสาวของตนเองที่นัดหมายเอาไว้ ทั้งสองถูกจับตามองในฐานะเป็นคู่ใหม่ปลามันในแคมปัสแห่งนี้ ทุกสายตามุ่งหมายมายังทั้งคู่ไม่ว่ายามนั่งกินข้าวด้วยกันในโรงอาหารหรือตอนนั่งทำงานอยู่ในห้องสมุด และกระทั่งตอนที่ทั้งสองยืนรอกันและกันอยู่หน้าห้องน้ำ พอคนถูกมองหันไปสบตาหญิงสาวชายหนุ่มที่จ้องมา ต่างก็หลบสายตากันวูบวาบแล้วก็มีเสียงหัวเราะคิกคักตามมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปภาพความโรแมนติกของทั้งสองก็กลับกลายเป็นความชาชินแก่ผู้พบเห็นจนเลิกอิจฉาตาร้อนไปกันเอง..แล้วสายตาเหล่านั้นก็จะเริ่มสอดส่ายหาคู่ใหม่ในแคมปัสกันอีกครั้ง...

จะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างตะวันและนิศาชลที่ดำเนินไปอย่างหวานชื่นนั้น สร้างความอิจฉาแก่บรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายอยู่ไม่น้อย ด้วยเด็กสาวผู้มีฉายาว่า น้ำค้าง งดงามด้วยผิวพรรณและรูปร่างที่กระชับได้สัดส่วน ใบหน้าเอิบอิ่มเพริศพริ้มเฉิดฉายอีกทั้งกิริยามารยาทก็งดงามสม่ำเสมอแต่ใช่ว่าเธอจะเป็นหญิงสาวเข้าขั้นเบญจกัลยาณีเหมือนนางในวรรคดีหรือสตรีผู้สูงศักดิ์แต่อย่างใด เธอยังมีความแก่นแก้วทะลึ่งตึงตังอยู่บ้างเป็นบางครั้งบางครา

ณ คืนหนึ่งแห่งความหนาวเหน็บ อวลไอหมอกโปรยปรายหนาหนัก ลมหนาวโบกโบยโชยชื่น ตะวันกับนิศาชลนั่งกอดเข่าอยู่บนสแตนด์เชียร์ฝั่งตรงข้ามตึกสโมสรนักศึกษาภายใต้ท้องฟ้าที่เกลื่อนกลาดด้วยหมู่ดาวพราวแสง มีพระจันทร์ยิ้มแฉ่งอยู่ตรงปลายฟ้าและมีคู่หนุ่มสาวอีกไม่น้อยนั่งหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่บริเวณนั้น

วันอาทิตย์นี้ดิวว่างมั้ย”

ตะวันเอ่ยถามเด็กสาวที่เอามือซุกซ่อนไว้ในแขนเสื้ออุ่น

ว่างสิ แล้วจะพาเราไปลั่นล้าที่ไหนละ...หือ”

เปล่า...ก็แค่อยากพานั่งมอ’ไซด์เที่ยวเล่นเฉยๆ”

แล้วจะพาไปไหน”

มวกเหล็ก มีที่ให้สูดออกซิเจนเยอะแยะ รับรองว่าดิวต้องชอบแน่ๆ”



เมืองเล็กๆ แห่งที่ราบสูงเชิงเขานี้ถูกขนานนามว่า อำเภอมวกเหล็ก ดินแดนที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องกะหรี่ปั๊บรสเด็ดและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์จนเป็นที่ยอมรับจากแผนที่โอโซนขององค์การนาซ่าว่าพื้นที่แห่งนี้มีโอโซนเป็นอันดับ 7 ของโลก และนั่นก็ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากแห่แหนเข้ามาเมืองนี้มิเคยขาดสาย



เมื่อวันอาทิตย์มาถึง ตะวันก็พานิศาชลขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์ซูซูกิสีน้ำเงินซีดจางที่จะพังแหล่มิพังแหล่ห้อตะบึงออกจากวิทยาลัยมุ่งหน้าสู่อุโมงค์ต้นไม้ สิ่งมหัศจรรย์จากประติมากรทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาอยู่บนเส้นทางมวกเหล็ก-วังม่วง บรรยากาศสองข้างทางร่มรื่นชื่นอกดวงตะวันลอยสูงขึ้นระเรื่อย เปล่งรัศมีเรืองรองไปทั่วอาณาบริเวณ ความหนาวเหน็บของอากาศเมื่อตอนหัวรุ่งถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นแห่งแสงอาทิตย์ยามสายของวัน ท้องฟ้าหลากสีในยามเช้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีครามเข้ม หมู่นกเริงร่าถลาร่อนอยู่ท่ามสายลมพัดเย็น 

 

มอเตอร์ไซด์สีเก่าบุโรทั่งวิ่งฉุยฉิวแหวกผ่านทิวทัศน์สองข้างถนนอันแสนร่มรื่น นิศาชลกางแขนออกทั้งสองข้างราวนกกระพือปีกโบยบินอยู่บนฟากฟ้า แหงนหน้าขึ้นแล้วทำท่าสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอดเต็มก้อน ตะวันแอบมองผ่านกระจกรถแล้วเผยยิ้มพริ้มพรายบนใบหน้า เด็กสาวเห็นเข้าจึงใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่เอวของคนที่นั่งข้างหน้าอย่างรวดเร็ว คนขับรถสะดุ้งโหยงบิดกายพัลวันด้วยความจั๊กกะจี๋

อย่าเล่นหยั่งงั้นดิ เดี๋ยวรถก็ล้มไม่เป็นท่าหรอก” ตะวันทำเป็นตีโพยตีพายขึ้นมา

แล้วแอบมองเราทำไม”

คนซ้อนท้ายค้อนควักอย่างมีจริตแง่งอน ส่วนตะวันได้แต่อมยิ้มแล้วผิวปากขับรถต่อไปอย่างสบายอุรา นิศาชลมองดูอากัปกิริยาของเด็กหนุ่มอย่างรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิด

ทั้งสองขับผ่านทุ่งทานตะวันสีเหลืองทองสดใสที่ทอดออกไปจนถึงตีนเขาไกลพ้น จึงแวะจอดรถแล้วเดินเข้าไปถ่ายรูปด้วยกันอย่างสนิทชิดใกล้

มีคนกล่าวว่าดอกทานตะวันเป็นดอกแห่งความรักที่ซื่อสัตย์และมั่นคง” ตะวันเอ่ยขึ้นพลางยกกล้องขึ้นถ่ายดอกสีเหลืองนวลช่อใหญ่เบื้องหน้า

นายพูดเองหรือเปล่า” นิศาชลมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างลังเลสงสัย

นี่แสดงว่าไม่เชื่อกันใช่มั้ย งั้นจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง...”


..สายของวันนั้น ตะวันจำต้องยกตำนานดอกทานตะวันขึ้นมากล่าวอ้างคำพูดของตัวเองเพื่อพิสูจน์ให้ดิวเห็นว่าถ้อยประโยคดังกล่าวไม่ได้ถูกประดิดประดอยแต่งขึ้นโดยพลการแต่อย่างใด

เนิ่นนานแห่งอดีตกาลผ่านพ้น มีหญิงงามนามว่า ไคลธี ถูกพระบิดาจับจองจำอยู่ภายในโบสถ์หลังหนึ่งซึ่งถูกปิดตายมานานหลายปี อย่างทุกข์ทนทรมาน หามีใครล่วงรู้ถึงสาเหตุแห่งการพันธนาการอันไร้ซึ่งอิสระภาพนั้นไม่ ต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ นานา จวบจวนวันหนึ่งเจ้าหญิงแอบหนีเล็ดลอดออกมาจากที่แห่งนั้น มุ่งสู่กลางท้องทุ่งแห่งหนึ่งอันเขียวขจีสดใสเพื่อสัมผัสแสงแรกแห่งอรุณรุ่งอันแสนอบอุ่นหัวใจ และในชั่วขณะนั้นก็ปรากฏเทพอะพอลโลควบม้าผ่านคุ้งขอบฟ้ากว้างพร้อมกับแสงร้อนแรงพาดผ่าน เพียงแรกพบองค์หญิงถึงกับหลงไหลชายหนุ่มรูปงามและเก็บเอามาฝันใฝ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อยามและนั่นก็ทำให้เจ้าหญิงไม่เกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์ใดๆ จึงหนีออกจากพันธนาการเพื่อรอพบชายหนุ่มที่จะควบม้าอย่างสง่างามข้ามผ่านท้องฟ้ากว้างมาพร้อมกับแสงอรุณที่มิอาจล่วงรู้ความรู้สึกที่องค์หญิงทรงมอบให้เพียงสักนิด เจ้าหญิงได้แต่หวังว่าคงมีสักวันที่ชายหนุ่มในฝันจะเหลียวมามองพระองค์บ้าง....แต่เทพอะพอลโลหาได้สนใจองค์หญิงผู้แสนอาภัพคนนี้ไม่ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งตำนานความรักอันยิ่งใหญ่ เจ้าหญิงไคลธีทรงทรงตั้งจิตมั่นอธิษฐานต่อทวยเทพบนฟากฟ้าดังว่า...

'ด้วยความรักของข้าฯ ที่มอบแด่บุรุษหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจตลอดมา เมื่อข้าฯ ลาลับจากไปสู่สัมปรายภพแล้วไซร้ ขอให้ข้าฯ เป็นทวยเทพแห่งผกาที่ตั้งมั่นอยู่ตราบสิ้นแสงอัจจิมาตลอดกาล หากขอให้เส้นผมนุ่มสีทองผ่องอำพันเป็นกลีบดอกเหลือง ดวงอาทิตย์นั้นไม่อาจผลักไส ขอเพียงสถิตอยู่ในดวงหทัยเทพอะพอลโลจอมใจข้าฯ ตลอดไปด้วยเทอญ'

ด้วยแรงอธิษฐาน เมื่อเจ้าหญิงไคลธีสิ้นลม เรียวขาของเธอได้หยั่งรากลึกลงไปในพื้นพสุธา แขนและลำตัวก็กลับกลายเป็นลำต้นใบไม้เขียว ใบหน้าอันอ่อนหวานกลับกลายเป็นสีน้ำผึ้ง เส้นผมไหมสีทองของเธอกลับกลายเป็นกลีบดอกไม้สีเหลืองสดใส คอยแหงนมองเทพแห่งดวงอาทิตย์ไปทุกแห่งหนโดยมิมีทางเหน็ดเหนื่อยและจะคอยหันมองตลอดจนกว่าดวงอาทิตย์ของเธอจะลาลับจากคุ้งขอบฟ้า ด้วยความรักและความภักดีตลอดกาล....

และนั่นก็ก่อเกิดเป็นตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่าหากผู้ใดมอบดอกทานตะวันแทนรักซึ้งในดวงจิตแก่ใครแล้วไซร้ บุคคลนั้นก็จะเป็นดุจที่รักไปตลอดกาล เฉกเช่นความซื่อสัตย์ของเจ้าหญิงไคลธีที่ทรงรักดวงตะวันของพระองค์ตราบสิ้นนานเท่านาน...

เมื่อตะวันเล่าจบ นิศาชลเผยอยิ้มบนใบหน้าแล้วทอดมองริ้วตะวันอันไกลพ้นอย่างชุ่มชื่นอุรา...

ตะวันกับนิศาชลบึ่งมอเตอร์ไซด์มาจนถึงอุโมงค์ต้นไม้บนทางโค้งของถนนสายร่มรื่น ทัศนียภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นสวยงามแปลกตายิ่งนัก ต้นไม้อันเขียวครึ้มริมสองข้างทางโน้มเข้าหากันราวอุโมงค์มหัศจรรย์ แสงแดดอ่อนๆ ทะลุผ่านเรือนยอดไม้เป็นลำระยิบตา นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งจอดรถข้างทางแล้วลงมาถ่ายรูปกันส่งเสียงดังเกรียวกราว ตะวันเรียกนิศาชลเข้ามาใกล้ๆ แล้วยกกล้องขึ้นถ่ายเก็บภาพประทับใจนั้นไว้เป็นความทรงจำ

ทั้งคู่ย้อนกลับทางเดิมและแวะจอดที่ไร่องุ่นแห่งหนึ่ง นั่งดื่มกาแฟและน้ำองุ่นรสเข้มข้นพร้อมพายองุ่นหวานกรอบอยู่บนชั้นสองของร้านที่สามารถมองเห็นเถาองุ่นเลื้อยอยู่บนเนินสูงได้ชัดเจน นั่งลงตรงโต๊ะไม้ ฟังเสียงเพลงขับกล่อมเบาๆ พร้อมสายลมโบกตีฉ่ำชื่น ไร่องุ่นแห่งนี้ทำหน้าที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาไม่เคยว่างเว้นโดยเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะมีนักท่องเที่ยวจากเมืองหลวงมากเป็นพิเศษ ทั้งยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของนักศึกษาในวิทยาลัยอีกด้วย เด็กสาวชายหนุ่มนั่งอยู่จนคนดูแลร้านซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่หุ่นตุ๊ต๊ะต้องหอบร่างอันเทอะทะขึ้นมาแจ้งทั้งคู่ว่าร้านจะปิดแล้ว ตะวันกับนิศาชลจึงได้รีบบึ่งมอเตอร์ไซด์คันเก่งกลับสู่วิทยาลัยก่อนพระอาทิตย์ตกดินด้วยทั้งสองตั้งใจจะพากันขึ้นไปบนเนินสูงแห่งหนึ่งใกล้กับป้อมยามทางเข้าวิทยาลัยด้านหน้าเพื่อชมแสงสุดท้ายแห่งวันตรงขอบฟ้า (ในอีกสองปีถัดมา เนินเขาแห่งนั้นถูกปรับหน้าดินจนเตียนโล่งเพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ของโรงเรียนประถมในเครือแอ๊ดเวนตีสอีกแห่งซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของวิทยาลัย)

ตะวันสีแสดแดงลอยดวงใกล้ลาลับ หมู่นกเริ่มโผผินบินสู่รังเกาะกันตามเป็นฝูง ตรงสนามฟุตบอลด้านล่างไม่ไกลนักมองเห็นนักศึกษาชายหลายคนวิ่งไล่เตะบอลกันอลหม่าน หอพักนักศึกษาเรียงกันเป็นทิวแถวอยู่ริมถนนลาดยางแอสฟัลด์ ต้นไม้สูงเล็กแทรกประดับอยู่ทั่วบริเวณ และเบื้องล่างติดตึกสโมสรนักศึกษาคือสระน้ำอันแสนร่มรื่น นกน้อยหลายตัวบินโฉบฉิวอยู่ตามผิวน้ำ ลมพริ้วโชยผ่านมาพัดต้องยอดหญ้าลู่ไหวตามลม

ตะวันยืนสูดอากาศเข้าปอดลึกยาวอยู่บนเนินสูงที่มองเห็นวิวทิวทัศน์รอบกาย ส่วนนิศาชลทอดสายตาผ่านยอดโบสถ์ไปยังดวงตะวันสีหมากสุกที่กำลังลาลับฟ้า เด็กหนุ่มยกกล้องคู่ใจขึ้น ดึงข้อศอกเข้าแนบลำตัว ตาด้านขวาเล็งผ่านช่องมองภาพ ปรับซูมเลนส์โฟกัสไปยังดวงอาทิตย์กลมโตที่ค่อยๆ จมหายไปจากขอบฟ้าขลิบทอง

"ขอบใจมากน่ะตะวัน ที่พาเราเที่ยวในวันนี้" นิศาชลเอ่ยขึ้นพร้อมหันมามองเด็กหนุ่มข้างๆ ที่ยังกดชัตเตอร์ไม่วางมือ

"ยินดีและเต็มใจรับใช้ครับ" ตะวันลดมือที่ถือกล้องลงแนบชิดลำตัวส่วนอีกข้างยกมาทาบไว้ตรงอกกว้างแล้วแสร้งปั้นน้ำเสียงอย่างสุภาพเรียบร้อยพร้อมโค้งคำนับอย่างสวยงามจนอีกฝ่ายยิ้มพรืดออกมา

"นายนี่มันขี้เล่นโคตรๆ"เด็กหนุ่มยิ้มแฉ่ง พร้อมสบตาวาวเด็กสาวราวจะกลืนกินไม่หลบถอย แล้วยกมือหนาข้างหนึ่งจับกุมมือเรียวเล็กของอีกคนขึ้นประทับริมฝีปากหยักเข้ม

นิศาชลมองลึกเข้าไปในแววตาคมฉาบคู่นั้นอย่างรู้สึกอบอุ่นซาบซ่านใจ เด็กสาวโปรยยิ้มละไมบนใบหน้าระเรื่อแดงแล้วเสมองไปด้านอื่นอย่างมีจริตมารยา

ความรักอันหวานชื่นของทั้งสองดูคล้ายจะไร้ซึ่งขวากหนามมาขวางกั้น จากวันเป็นเดือนจากเดือนสู่ฤดู กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปอย่างเร็วรี่ราวติดจรวด สายลมหนาวพัดผ่านไปพร้อมดอกสุพรรณิการ์ที่ราโรย สายฝนอันฉ่ำชื่นก็โปรยปรายลงมาแทนที่เป็นสัญญาณเริ่มต้นฤดูใหม่ เหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์การสอบไล่ปลายภาคประจำปีการศึกษา ๒๕๔๗ ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว นักศึกษาหลายคนต่างคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือและรีบเร่งทำงานส่งอาจารย์ประจำวิชาอย่างขมีขมัน แต่เด็กหนุ่มสูงโปร่งคนหนึ่งกับเศร้าซึมท้อแท้สิ้นหวังราวโลกนี้หมดสิ้นซึ่งความสวยงาม ฤดูฝนปีนั้นมาพร้อมกับข่าวร้ายที่ทำให้หัวใจของตะวันแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันทีที่ทราบว่านิศาชลจะย้ายไปเรียนที่อเมริกาในปีการศึกษาหน้าและจะออกเดินทางทันทีภายหลังสอบเสร็จ ความหวังที่แตกหน่ออยู่ในใจของตะวันเรื่อยมานั้นก็พังทลายสูญสิ้นไม่หลงเหลือเศษเสี้ยวใดๆ อีกต่อไป


ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนนิศาชลจะลาจากวิทยาลัยแห่งที่ราบสูงเชิงเขาและตะวันผู้เป็นดั่งเงาของความทรงจำที่จะติดตามเธอไปทุกแห่งหน ทั้งสองได้นัดพบกันอีกครั้งตรงสแตนด์เชียร์ฝั่งตรงข้ามตึกสโมสรนักศึกษาภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้มไร้หมู่ดาวพราวแสง บรรยากาศโดยรอบเงียบงันไร้เสียงหัวร่อต่อกระซิกของหนุ่มสาวคู่อื่นๆ ดั่งเช่นวันวาน

"มีคนกล่าวไว้ว่าการพบกันเป็นสิ่งชั่วคราว แต่การพลัดพรากจากกันเป็นสิ่งสมบูรณ์" นิศาชลเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบของบรรยากาศอันแสนอึดอัด

"เราเข้าใจ...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเอกภาพของด้านตรงข้ามเสมอ เมื่อมีความสุขก็ต้องมีความทุกข์ ความอิ่มไม่เคยสวยงามหากเราไม่เคยลิ้มรสความหิว เราจะไม่มีวันเข้าใจมันเลย หากเราไม่เคยพบพานอีกด้านของมัน เช่นกัน เมื่อมีเริ่มก็มีจบ เมื่อมีพบก็มีจาก ไม่มีอะไรหนีกฏธรรมชาติข้อนี้ไปได้หรอก"

"แล้วอะไรทำให้คนสองคนต้องมาพบกันแล้ว...ก็รักกันล่ะ"

"มันเป็นกรรมเก่าที่ทำให้คนสองคนต้องกลับมารักกันทุกชาติไป คนโบราณเชื่อกันว่าเนื้อคู่ของเราถูกกำหนดมาแล้ว เราจะต้องตามหาคนที่มีด้ายสีแดงผูกที่นิ้วก้อยข้างซ้าย ด้ายแดงจะนำให้คนทั้งสองมาพบกัน และรักกันในที่สุด"

“…”

ดิว...” ตะวันหยุดเว้นระยะ กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากแล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “เราจะได้พบกันอีกไหม”

โลกของตะวันดูเหมือนหยุดเคลื่อนไหว ไม่มีกาลเวลา ไม่มีมวลอนุภาคใดๆ แม้แต่ลมหายใจก็เหมือนจะหยุดนิ่ง นิศาชลยกมือขึ้นตบไหล่ขวาของเด็กหนุ่มเบาๆ ด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน

เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตะวัน... พรุ่งนี้เราจะได้พบอะไร จะเป็นยังไง ไม่มีใครล่วงรู้ชะตากรรมของตัวเองได้หรอก แต่เราก็ต้องมีความหวังและความฝันเพื่อเป็นสิ่งสุดท้ายของหัวใจพองโต สักวันโชคชะตาคงนำพาเราสองคนมาพบกันอีก”

...”

นี่แน่ะ...เรามีอะไรบางอย่างให้ตะวันเป็นที่ระลึกด้วย จะได้คิดถึงกันตลอดไป”

เด็กสาวเปลี่ยนน้ำเสียงระรื่นเพื่อกลบเกลื่อนความโศกเศร้าในใจแล้วยกแขนข้างหนึ่งของตะวันขึ้นมาก่อนวางสร้อยคอโลมาลงไปบนฝ่ามือกว้าง

เก็บไว้แทนความทรงจำและมิตรภาพของเราตลอดไปน่ะ หวังว่าสักวันเราคงได้เจอกัน...”

มิทันที่นิศาชลจะพูดจบ ตะวันก็ตวัดวงแขนแกร่งโอบกอดเด็กสาวอย่างแนบแน่นจนเจ้าของร่างเล็กแบบบางหายใจติดขัดเด็กหนุ่มจึงคลายวงแขนนั้นออกอย่างจำใจ...

...แล้วภาพในวันนั้นก็กลายเป็นอดีตที่ซุกซ่อนอยู่ในลิ้นชักความทรงจำของตะวันเรื่อยมา ภายหลังสอบเสร็จ นิศาชลก็ขนกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถตู้สีขาวแล้วรถก็วิ่งฉุยฉิวออกจากวิทยาลัยทันทีโดยมีตะวันติดตามไปส่งถึงสนามบิน ในห้วงแห่งการโบกมือลาอาลัยตรงเขตผู้โดยสารขาออกนั้น เด็กหนุ่มแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ดั่งมีดที่ปักลงกลางใจจนปวดร้าวเกินรับไหว เด็กสาวน่ารักสดใสคนนั้นทำให้เขาบ้าคลั่งอยู่หลายเดือน จนผองเพื่อนเป็นห่วงบ่วงใยต้องพาไปสังสรรค์เมามายทุกค่ำคืน


1 comment:

  1. พี่ MeOMee ติด ลิงก์ของวัฒน์ไว้ที่บล็อกของพี่ที่นี่ค่ะ
    http://meomeediary.blogspot.com/
    ช่วยกันโปรโมทงานดี ๆ ^^

    ReplyDelete