-บทที่ 2-
ตอน: โอ้...เจ้าดอกสุพรรณิการ์
สุเอ๋ยสุพรรณิการ์ ดอกฟ้าแย้มระลอกในหมอกหวาน
ดอกเจ้าหนาวราวจะดับให้ลับลาน อีกไม่นานเจ้าต้องลาเมื่อคราโรย
ดอกเจ้าเอ๋ยสูงส่งระหงสวย หากต้องม้วยมรณานิจจาโหย
กลีบอรุณหลุดราน้ำตาโปรย สุพรรณโรยโบยบายในสายลม
นางสาวอีฟ น.ส
วันนั้นเป็นเช้าวันอาทิตย์
หมอกขาวโพลนลอยอ้อยอิ่งระเรี่ยขุนเขา
ลมหนาวพัดพรูผ่านมา
กรีดลึกจนถึงกระดูก
หมู่นกโผผินบินสู่ขอบฟ้าอันไกลพ้นส่งเสียงเจื้อยแจ้วแสนปรีดา
สุพรรณิการ์ชูช่อเหลืองอร่ามเบ่งบานเต็มต้นอยู่ริมถนนหน้าหอชายหนึ่ง
เสียงลมหนาวพัดหวู่หวิวอยู่ในอากาศ
สายหมอกลอยต่ำลงระเรื่อยเมื่อถูกขับไล่จากแสงตะวันดวงโตที่กำลังโผล่พ้นภูเขา
ตะวันในชุดกางเกงวอร์มสีเทาบาง
สวมเสื้อแขนยาวมีฮูด วิ่งเหยาะๆ
ไปตามลู่วิ่งสนามฟุตบอลราวนักกีฬาที่กำลังอบอุ่นร่างกายเพื่อลงชิงชัยแข่งขัน
เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว
ตะวันตื่นตั้งแต่ตีนฟ้ายังไม่เปิด
ในขณะที่รูมเมทร่างใหญ่นอนหลับสบายอยู่ในผ้าห่มอุ่นหนา
เขาตื่นขึ้นมาเพื่อสัมผัสละไอหมอกที่ลอยฉ่ำชื่นอยู่ในอากาศ
วิ่งฝ่าความหนาวเหน็บจนแลเห็นควันกรุ่นบางออกมาตามลมหายใจ
ใช่เพียงแต่ลมหนาวและสายหมอกที่ปลุกเด็กหนุ่มให้ยอมแคะขี้ตาเม็ดเขื่องลุกขึ้นมาวิ่งในตอนเช้า
หากยังมีเด็กสาวเพราพริ้งอีกคนที่เป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดเจ้าคนร่างสูงให้ออกวิ่งตามอย่างไม่ลดละ
ความน่ารักของเด็กสาวเปรียบไปก็เหมือนดั่งสุพรรณิการ์อร่ามเหลืองที่พลิ้วไสวอยู่บนยอดต้นส่งกลิ่นหอมรวยระรินยวนยั่วเหล่าแมลงภู่ให้หลงไหลจนยากจะถ่ายถอน
สุพรรณิการ์หรือดอกฝ้ายคำเป็นดอกไม้ประจำวิทยาลัยแห่งนี้
กล่าวกันว่าถ้าปีไหนสุพรรณิการ์ออกดอกบานสะพรั่งต้น
ในปีนั้นจะมีนักศึกษาเรียนจบเป็นจำนวนมาก
ดอกสีเหลืองช่อนี้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของตะวันมิลืมเลือนเช่นเดียวกับเด็กสาวผมยาวหน้าหมวยคนนั้นที่ยังประทับอยู่ในใจของตะวันเรื่อยมา
การพบกันของทั้งสองคนเกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่งแห่งกาลต้นหนาวในปี
๒๕๔๗ ณ
สนามฟุตบอลที่งดงามด้วยต้นหญ้าชอุ่มชุ่มเขียวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์โฆษณาน้ำหอมดับกลิ่นกายยี่ห้อหนึ่งและกล่าวกันว่ามีรุ่นพี่บางคนได้ร่วมแสดงในภาพยนต์โฆษณาดังกล่าวนั้นด้วย
วันนั้นเป็นเช้าที่อากาศเย็นบาดเยือกแม้แต่นกก็คร้านจะกวักปีกบินออกจากรัง
ม่านหมอกหนาหนักอวบอวลอยู่ทั่วบริเวณ
นักศึกษาหลายคนยังคงนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนอุ่น
ผิดแผกจากตะวันที่ลุกขึ้นมาวิ่งรอบสนามฟุตบอลในเช้าที่ไม่ต้องรีบเร่งไปชั้นเรียนและในตรู่นั้นเองที่เด็กหนุ่มสูงโปร่งคนนี้ได้พบกับสาวหน้าหมวยในชุดกางเกงขายาวสีเทานวล
เสื้อยืดสีขาวแขนยาว
เมื่อวิ่งฝ่าม่านหมอกหย่อมหนึ่งออกมา
ตะวันก็แลเห็นเด็กสาวหุ่นสวยทรงผมรวบเกล้าวิ่งเหยาะๆ
อยู่ข้างหน้าห่างจากเขาประมาณห้าสิบเมตร
เสียงลมหนาววู่หวิวได้ยินถนัดถนี่
หัวใจของเด็กหนุ่มเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อวิ่งใกล้เข้ามาที่ระยะความห่างยี่สิบเมตร
ไม่ทันวิ่งผ่านเธอไป
เด็กสาวหุ่นเพรียวงามคนนั้นก็หันมามองตะวันด้วยสายตาที่ทำให้เด็กหนุ่มขี้อายคนนี้แทบเข่าทรุดหมดแรงวิ่งขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน
อากาศที่ว่าหนาวยะเยือกจนถึงกระดูกนั้นยังพ่ายแพ้เสน่ห์ของแม่สาวพราวพรายคนนี้
ตะวันหยุดวิ่ง หัวใจเต้นถี่กระชั้น
เด็กสาวหันหลังกลับไปด้วยรอยยิ้มเขินอาย
ให้ดิ้นตายเหอะ!
รอยยิ้มของหล่อนทำให้ตะวันแทบคลั่ง
เขาสองจิตสองใจว่าจะวิ่งตามเธอไปหรือวิ่งจ้ำอ้าวกระโดดผลุงลงสระน้ำข้างหอให้หายบ้าคลั่งเสียที
ไม่ทันได้ตัดสินใจแต่อย่างใด
เจ้าหล่อนก็เดินกลับเข้าหอพักไปเสียแล้ว
เด็กหนุ่มเก็บใบหน้าแฉล้มแช่มช้อยของเด็กสาวไปนอนฝันถึงทุกเมื่อเชื่อยาม
เขาตื่นแต่เช้าเพื่อหวังจะได้พบสาวหมวยคนนั้นอีกครั้งที่สนามฟุตบอล
แต่หกวันที่ผ่านมาก็ไม่ปรากฏแม้แต่เงาของสาวเจ้าคนนั้น
ราวว่าเธอเป็นเพียงสายลมหนาวที่พัดผ่านมาแล้วก็พลิ้วผ่านไปอย่างไร้ตัวตนสร้างความวุ่นวายใจแก่เด็กหนุ่มจนนอนไม่หลับ
แต่ในเช้าวันนี้ เมื่อสายหมอกเริ่มจางหาย
แดดกรุ่นอ่อนเริ่มโรยราย
ตะวันก็ได้พบกับเด็กสาวคนนั้นอีกครั้ง...
เธอหยุดยืนอยู่ตรงโค้งลู่วิ่งก่อนถึงจุดสตาร์ทใกล้อัฒจรรย์ติดตึกสโมสรนักศึกษา
ตะวันวิ่งมาทางด้านหลังของเธอในระยะไม่เกินยี่สิบเมตร
เพียงเห็นร่างเล็กสมส่วนผมเกล้าเรียบร้อยตรงหน้านั้น
หนุ่มสูงโปร่งก็สั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย
หัวใจเต้นโครมครามราวจะทะลุออกมาจากอก
ตะวันทำท่าจะถอยกลับ
แล้วใส่ตีนหมาโกยอ้าวแต่ต้องหยุดกึกสะดุ้งยึกเมื่อแว่วเสียงแพรวพราวเอ่ยทักทาย
‘สวัสดีตอนเช้าค่ะ’
เจ้าของเสียงนั้นหันมาทักทายกับหนุ่มขี้อายที่บัดนี้ยืนแข็งทื่อมือเท้าแทบไม่กระดิกกระเดี้ย
หัวใจเต้นถี่กระชั้นแรงขึ้น
คนถูกทักตะลึงงันก่อนเอ่ยทักทายกลับไปอย่างตะกุกตะกักด้วยความเขินอายอย่างหมดท่าจนอีกฝ่ายคลี่ยิ้มบนใบหน้าอย่างไม่เคอะเขินและในเช้าวันนั้นตะวันก็ได้รู้จักสาวหมวยที่เฝ้าติดตามมาตลอดสัปดาห์
ความน่ารักของเด็กสาวคงเปรียบได้กับความงามของดอกสุพรรณิการ์
ยามได้เอิบอาบสายหมอกตอนเช้า
ดวงดอกช่างงามละมุนอุ่นใจเหลือเกิน…
เด็กสาวร่างเล็กสมส่วนคนนั้นชื่อว่า
นิศาชล
หรือว่า ดิว
เธอเป็นลูกครึ่งไทย-ไต้หวัน
เพิ่งย้ายมาเรียนที่วิทยาลัยแห่งนี้ไม่นานนัก
เมื่อได้สัมผัสบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก
ณ สถานที่แห่งนี้
เด็กสาวก็หลงเสน่ห์จนถอนตัวไม่ขึ้น
สองหนุ่มสาวเดินทอดน่องรอบสนามฟุตบอล
ตะวันโผล่หัวขึ้นแต่งฟ้าเปล่งรัศมีแจร่มแฉกฉาน
เหล่านกกาโบยบินออกจากรังส่งเสียงเจื้อยแจ้วแจ่มใส
“ดิวรู้จักวิลัยนี้ได้ยังไง”
ตะวันเอ่ยถามนิศาชลที่เดินอยู่เคียงข้าง
อาการเก้อเขินหายไปสนิท
“ก็รู้จักจากโรงเรียนเก่า”
“เป็นโรงเรียนในเครือของแอ๊ดเวนตีสท์รึเปล่า”
“อืม”
นิศาชลพยักหน้าพร้อมหันมามองคนที่ถามด้วยรอยยิ้มแจ่มจ้า
ใบหน้าที่ขาวกระจ่างแต้มแต่งด้วยดวงตาที่เป็นประกายแพรวพราว
ทำให้เจ้าหนุ่มร่างสูงอยากกระโดดกัดหูตัวเองให้หายบ้าอีกครั้ง
ความน่ารักน่าชังของเด็กสาวทำให้ตะวันรู้สึกประหลาดล้ำอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต
“แล้วทำไม...ถึงเลือกมาเรียนที่นี่ล่ะ”
เจ้าหนุ่มคมเข้มเอ่ยถามทั้งที่จังหวะหัวใจยังไม่ลดความถี่กระชั้นลง
เขาพยายามซ่อนเร้นอาการเหนียมอายที่เริ่มผุดพรายขึ้นมาอีกหน
“ดิวชอบความสงบของวิ’ลัยนี้
ธรรมชาติก็สวย อากาศก็ดี”
เด็กหนุ่มฟังเธอเล่าอย่างชื่นชม
น้ำเสียงของเด็กสาวอ่อนละมุนจับใจยิ่งนัก
“เราแบกแพ็คตะลอนท่องเที่ยวไปทั่วไทย
ยังไม่ประทับใจที่ไหนเหมือนที่นี่เลยน่ะ”
ตะวันเอ่ยสัมทับ มีความภาคภูมิอยู่ในที
“นี่นายชอบเที่ยวแบบแบกแพ็คเหมือนกันเหรอ
เราก็ชอบน่ะ
เล่าให้ฟังหน่อยดิว่าไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง”
แล้วบทเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเด็กสาวกับชายหนุ่มก็เริ่มขึ้นนับแต่เช้าวันนั้น
ดอกสุพรรณิการ์พลิ้วไหวระบำไปตามสายลมหนาว
แดดอ่อนบางกรุ่นแสงโดยรอบ
ผีเสื้อและมวลหมู่แมลงมีปีกบินฉวัดเฉวียนอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้
และบนท้องฟ้าสีครามกระจ่างใส
ก็ปรากฏเหล่าวิหคร่อนถลาไปมาอย่างอิสระเสรี
เมื่อความรักบังเกิดขึ้น
โลกก็พลันสดใส
ตะวันกับดิวพูดคุยกันทางโทรศัพท์ที่พ่วงสายระหว่างห้องทุกค่ำคืนก่อนหลับนอนฝันหวาน
ทั้งสองแบ่งปันเล่าเรื่องของกันและกันแล้วหัวเราะเฮฮากันไปตามประสา
สร้างความอิจฉาตาร้อนแก่เจ้าบิ๊กที่นั่งกินกระเพราไก่กรอบพูนจานอยู่ตรงโต๊ะของตัวเองจนหนุ่มผิวเข้มเพื่อนร่วมห้องถูกค่อนแคะต่างๆ
นานา
และทุกเช้าก่อนไปเรียนตะวันจะยืนรอดิวอยู่ตรงหน้าหอชายหนึ่งเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมหอบางคนที่คอยชะแง้แลมองหญิงสาวของตนเองที่นัดหมายเอาไว้
ทั้งสองถูกจับตามองในฐานะเป็นคู่ใหม่ปลามันในแคมปัสแห่งนี้
ทุกสายตามุ่งหมายมายังทั้งคู่ไม่ว่ายามนั่งกินข้าวด้วยกันในโรงอาหารหรือตอนนั่งทำงานอยู่ในห้องสมุด
และกระทั่งตอนที่ทั้งสองยืนรอกันและกันอยู่หน้าห้องน้ำ
พอคนถูกมองหันไปสบตาหญิงสาวชายหนุ่มที่จ้องมา
ต่างก็หลบสายตากันวูบวาบแล้วก็มีเสียงหัวเราะคิกคักตามมา
แต่เมื่อเวลาผ่านไปภาพความโรแมนติกของทั้งสองก็กลับกลายเป็นความชาชินแก่ผู้พบเห็นจนเลิกอิจฉาตาร้อนไปกันเอง..แล้วสายตาเหล่านั้นก็จะเริ่มสอดส่ายหาคู่ใหม่ในแคมปัสกันอีกครั้ง...
จะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างตะวันและนิศาชลที่ดำเนินไปอย่างหวานชื่นนั้น
สร้างความอิจฉาแก่บรรดาหนุ่มๆ
ทั้งหลายอยู่ไม่น้อย
ด้วยเด็กสาวผู้มีฉายาว่า
น้ำค้าง
งดงามด้วยผิวพรรณและรูปร่างที่กระชับได้สัดส่วน
ใบหน้าเอิบอิ่มเพริศพริ้มเฉิดฉายอีกทั้งกิริยามารยาทก็งดงามสม่ำเสมอแต่ใช่ว่าเธอจะเป็นหญิงสาวเข้าขั้นเบญจกัลยาณีเหมือนนางในวรรคดีหรือสตรีผู้สูงศักดิ์แต่อย่างใด
เธอยังมีความแก่นแก้วทะลึ่งตึงตังอยู่บ้างเป็นบางครั้งบางครา
ณ
คืนหนึ่งแห่งความหนาวเหน็บ
อวลไอหมอกโปรยปรายหนาหนัก
ลมหนาวโบกโบยโชยชื่น
ตะวันกับนิศาชลนั่งกอดเข่าอยู่บนสแตนด์เชียร์ฝั่งตรงข้ามตึกสโมสรนักศึกษาภายใต้ท้องฟ้าที่เกลื่อนกลาดด้วยหมู่ดาวพราวแสง
มีพระจันทร์ยิ้มแฉ่งอยู่ตรงปลายฟ้าและมีคู่หนุ่มสาวอีกไม่น้อยนั่งหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่บริเวณนั้น
“วันอาทิตย์นี้ดิวว่างมั้ย”
ตะวันเอ่ยถามเด็กสาวที่เอามือซุกซ่อนไว้ในแขนเสื้ออุ่น
“ว่างสิ
แล้วจะพาเราไปลั่นล้าที่ไหนละ...หือ”
“เปล่า...ก็แค่อยากพานั่งมอ’ไซด์เที่ยวเล่นเฉยๆ”
“แล้วจะพาไปไหน”
“มวกเหล็ก
มีที่ให้สูดออกซิเจนเยอะแยะ
รับรองว่าดิวต้องชอบแน่ๆ”
เมืองเล็กๆ
แห่งที่ราบสูงเชิงเขานี้ถูกขนานนามว่า
อำเภอมวกเหล็ก
ดินแดนที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องกะหรี่ปั๊บรสเด็ดและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์จนเป็นที่ยอมรับจากแผนที่โอโซนขององค์การนาซ่าว่าพื้นที่แห่งนี้มีโอโซนเป็นอันดับ
7
ของโลก
และนั่นก็ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากแห่แหนเข้ามาเมืองนี้มิเคยขาดสาย
เมื่อวันอาทิตย์มาถึง
ตะวันก็พานิศาชลขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์ซูซูกิสีน้ำเงินซีดจางที่จะพังแหล่มิพังแหล่ห้อตะบึงออกจากวิทยาลัยมุ่งหน้าสู่อุโมงค์ต้นไม้
สิ่งมหัศจรรย์จากประติมากรทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาอยู่บนเส้นทางมวกเหล็ก-วังม่วง
บรรยากาศสองข้างทางร่มรื่นชื่นอกดวงตะวันลอยสูงขึ้นระเรื่อย
เปล่งรัศมีเรืองรองไปทั่วอาณาบริเวณ
ความหนาวเหน็บของอากาศเมื่อตอนหัวรุ่งถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นแห่งแสงอาทิตย์ยามสายของวัน
ท้องฟ้าหลากสีในยามเช้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีครามเข้ม
หมู่นกเริงร่าถลาร่อนอยู่ท่ามสายลมพัดเย็น
มอเตอร์ไซด์สีเก่าบุโรทั่งวิ่งฉุยฉิวแหวกผ่านทิวทัศน์สองข้างถนนอันแสนร่มรื่น
นิศาชลกางแขนออกทั้งสองข้างราวนกกระพือปีกโบยบินอยู่บนฟากฟ้า
แหงนหน้าขึ้นแล้วทำท่าสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอดเต็มก้อน
ตะวันแอบมองผ่านกระจกรถแล้วเผยยิ้มพริ้มพรายบนใบหน้า
เด็กสาวเห็นเข้าจึงใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่เอวของคนที่นั่งข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
คนขับรถสะดุ้งโหยงบิดกายพัลวันด้วยความจั๊กกะจี๋
“อย่าเล่นหยั่งงั้นดิ
เดี๋ยวรถก็ล้มไม่เป็นท่าหรอก”
ตะวันทำเป็นตีโพยตีพายขึ้นมา
“แล้วแอบมองเราทำไม”
คนซ้อนท้ายค้อนควักอย่างมีจริตแง่งอน
ส่วนตะวันได้แต่อมยิ้มแล้วผิวปากขับรถต่อไปอย่างสบายอุรา
นิศาชลมองดูอากัปกิริยาของเด็กหนุ่มอย่างรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิด
ทั้งสองขับผ่านทุ่งทานตะวันสีเหลืองทองสดใสที่ทอดออกไปจนถึงตีนเขาไกลพ้น
จึงแวะจอดรถแล้วเดินเข้าไปถ่ายรูปด้วยกันอย่างสนิทชิดใกล้
“มีคนกล่าวว่าดอกทานตะวันเป็นดอกแห่งความรักที่ซื่อสัตย์และมั่นคง”
ตะวันเอ่ยขึ้นพลางยกกล้องขึ้นถ่ายดอกสีเหลืองนวลช่อใหญ่เบื้องหน้า
“นายพูดเองหรือเปล่า”
นิศาชลมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างลังเลสงสัย
..สายของวันนั้น
ตะวันจำต้องยกตำนานดอกทานตะวันขึ้นมากล่าวอ้างคำพูดของตัวเองเพื่อพิสูจน์ให้ดิวเห็นว่าถ้อยประโยคดังกล่าวไม่ได้ถูกประดิดประดอยแต่งขึ้นโดยพลการแต่อย่างใด
เนิ่นนานแห่งอดีตกาลผ่านพ้น
มีหญิงงามนามว่า ไคลธี
ถูกพระบิดาจับจองจำอยู่ภายในโบสถ์หลังหนึ่งซึ่งถูกปิดตายมานานหลายปี
อย่างทุกข์ทนทรมาน
หามีใครล่วงรู้ถึงสาเหตุแห่งการพันธนาการอันไร้ซึ่งอิสระภาพนั้นไม่
ต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ
นานา จวบจวนวันหนึ่งเจ้าหญิงแอบหนีเล็ดลอดออกมาจากที่แห่งนั้น
มุ่งสู่กลางท้องทุ่งแห่งหนึ่งอันเขียวขจีสดใสเพื่อสัมผัสแสงแรกแห่งอรุณรุ่งอันแสนอบอุ่นหัวใจ
และในชั่วขณะนั้นก็ปรากฏเทพอะพอลโลควบม้าผ่านคุ้งขอบฟ้ากว้างพร้อมกับแสงร้อนแรงพาดผ่าน
เพียงแรกพบองค์หญิงถึงกับหลงไหลชายหนุ่มรูปงามและเก็บเอามาฝันใฝ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อยามและนั่นก็ทำให้เจ้าหญิงไม่เกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์ใดๆ
จึงหนีออกจากพันธนาการเพื่อรอพบชายหนุ่มที่จะควบม้าอย่างสง่างามข้ามผ่านท้องฟ้ากว้างมาพร้อมกับแสงอรุณที่มิอาจล่วงรู้ความรู้สึกที่องค์หญิงทรงมอบให้เพียงสักนิด
เจ้าหญิงได้แต่หวังว่าคงมีสักวันที่ชายหนุ่มในฝันจะเหลียวมามองพระองค์บ้าง....แต่เทพอะพอลโลหาได้สนใจองค์หญิงผู้แสนอาภัพคนนี้ไม่
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งตำนานความรักอันยิ่งใหญ่
เจ้าหญิงไคลธีทรงทรงตั้งจิตมั่นอธิษฐานต่อทวยเทพบนฟากฟ้าดังว่า...
'ด้วยความรักของข้าฯ
ที่มอบแด่บุรุษหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจตลอดมา
เมื่อข้าฯ ลาลับจากไปสู่สัมปรายภพแล้วไซร้
ขอให้ข้าฯ
เป็นทวยเทพแห่งผกาที่ตั้งมั่นอยู่ตราบสิ้นแสงอัจจิมาตลอดกาล
หากขอให้เส้นผมนุ่มสีทองผ่องอำพันเป็นกลีบดอกเหลือง
ดวงอาทิตย์นั้นไม่อาจผลักไส
ขอเพียงสถิตอยู่ในดวงหทัยเทพอะพอลโลจอมใจข้าฯ
ตลอดไปด้วยเทอญ'
ด้วยแรงอธิษฐาน
เมื่อเจ้าหญิงไคลธีสิ้นลม
เรียวขาของเธอได้หยั่งรากลึกลงไปในพื้นพสุธา
แขนและลำตัวก็กลับกลายเป็นลำต้นใบไม้เขียว
ใบหน้าอันอ่อนหวานกลับกลายเป็นสีน้ำผึ้ง
เส้นผมไหมสีทองของเธอกลับกลายเป็นกลีบดอกไม้สีเหลืองสดใส
คอยแหงนมองเทพแห่งดวงอาทิตย์ไปทุกแห่งหนโดยมิมีทางเหน็ดเหนื่อยและจะคอยหันมองตลอดจนกว่าดวงอาทิตย์ของเธอจะลาลับจากคุ้งขอบฟ้า
ด้วยความรักและความภักดีตลอดกาล....
และนั่นก็ก่อเกิดเป็นตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่าหากผู้ใดมอบดอกทานตะวันแทนรักซึ้งในดวงจิตแก่ใครแล้วไซร้
บุคคลนั้นก็จะเป็นดุจที่รักไปตลอดกาล
เฉกเช่นความซื่อสัตย์ของเจ้าหญิงไคลธีที่ทรงรักดวงตะวันของพระองค์ตราบสิ้นนานเท่านาน...
เมื่อตะวันเล่าจบ
นิศาชลเผยอยิ้มบนใบหน้าแล้วทอดมองริ้วตะวันอันไกลพ้นอย่างชุ่มชื่นอุรา...
ตะวันกับนิศาชลบึ่งมอเตอร์ไซด์มาจนถึงอุโมงค์ต้นไม้บนทางโค้งของถนนสายร่มรื่น
ทัศนียภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นสวยงามแปลกตายิ่งนัก
ต้นไม้อันเขียวครึ้มริมสองข้างทางโน้มเข้าหากันราวอุโมงค์มหัศจรรย์
แสงแดดอ่อนๆ ทะลุผ่านเรือนยอดไม้เป็นลำระยิบตา
นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งจอดรถข้างทางแล้วลงมาถ่ายรูปกันส่งเสียงดังเกรียวกราว
ตะวันเรียกนิศาชลเข้ามาใกล้ๆ
แล้วยกกล้องขึ้นถ่ายเก็บภาพประทับใจนั้นไว้เป็นความทรงจำ
ทั้งคู่ย้อนกลับทางเดิมและแวะจอดที่ไร่องุ่นแห่งหนึ่ง
นั่งดื่มกาแฟและน้ำองุ่นรสเข้มข้นพร้อมพายองุ่นหวานกรอบอยู่บนชั้นสองของร้านที่สามารถมองเห็นเถาองุ่นเลื้อยอยู่บนเนินสูงได้ชัดเจน
นั่งลงตรงโต๊ะไม้
ฟังเสียงเพลงขับกล่อมเบาๆ
พร้อมสายลมโบกตีฉ่ำชื่น
ไร่องุ่นแห่งนี้ทำหน้าที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาไม่เคยว่างเว้นโดยเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะมีนักท่องเที่ยวจากเมืองหลวงมากเป็นพิเศษ
ทั้งยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของนักศึกษาในวิทยาลัยอีกด้วย
เด็กสาวชายหนุ่มนั่งอยู่จนคนดูแลร้านซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่หุ่นตุ๊ต๊ะต้องหอบร่างอันเทอะทะขึ้นมาแจ้งทั้งคู่ว่าร้านจะปิดแล้ว
ตะวันกับนิศาชลจึงได้รีบบึ่งมอเตอร์ไซด์คันเก่งกลับสู่วิทยาลัยก่อนพระอาทิตย์ตกดินด้วยทั้งสองตั้งใจจะพากันขึ้นไปบนเนินสูงแห่งหนึ่งใกล้กับป้อมยามทางเข้าวิทยาลัยด้านหน้าเพื่อชมแสงสุดท้ายแห่งวันตรงขอบฟ้า
(ในอีกสองปีถัดมา
เนินเขาแห่งนั้นถูกปรับหน้าดินจนเตียนโล่งเพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ของโรงเรียนประถมในเครือแอ๊ดเวนตีสอีกแห่งซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของวิทยาลัย)
ตะวันสีแสดแดงลอยดวงใกล้ลาลับ
หมู่นกเริ่มโผผินบินสู่รังเกาะกันตามเป็นฝูง
ตรงสนามฟุตบอลด้านล่างไม่ไกลนักมองเห็นนักศึกษาชายหลายคนวิ่งไล่เตะบอลกันอลหม่าน
หอพักนักศึกษาเรียงกันเป็นทิวแถวอยู่ริมถนนลาดยางแอสฟัลด์
ต้นไม้สูงเล็กแทรกประดับอยู่ทั่วบริเวณ
และเบื้องล่างติดตึกสโมสรนักศึกษาคือสระน้ำอันแสนร่มรื่น
นกน้อยหลายตัวบินโฉบฉิวอยู่ตามผิวน้ำ
ลมพริ้วโชยผ่านมาพัดต้องยอดหญ้าลู่ไหวตามลม
ตะวันยืนสูดอากาศเข้าปอดลึกยาวอยู่บนเนินสูงที่มองเห็นวิวทิวทัศน์รอบกาย
ส่วนนิศาชลทอดสายตาผ่านยอดโบสถ์ไปยังดวงตะวันสีหมากสุกที่กำลังลาลับฟ้า
เด็กหนุ่มยกกล้องคู่ใจขึ้น
ดึงข้อศอกเข้าแนบลำตัว
ตาด้านขวาเล็งผ่านช่องมองภาพ
ปรับซูมเลนส์โฟกัสไปยังดวงอาทิตย์กลมโตที่ค่อยๆ
จมหายไปจากขอบฟ้าขลิบทอง
"ขอบใจมากน่ะตะวัน
ที่พาเราเที่ยวในวันนี้"
นิศาชลเอ่ยขึ้นพร้อมหันมามองเด็กหนุ่มข้างๆ
ที่ยังกดชัตเตอร์ไม่วางมือ
"ยินดีและเต็มใจรับใช้ครับ"
ตะวันลดมือที่ถือกล้องลงแนบชิดลำตัวส่วนอีกข้างยกมาทาบไว้ตรงอกกว้างแล้วแสร้งปั้นน้ำเสียงอย่างสุภาพเรียบร้อยพร้อมโค้งคำนับอย่างสวยงามจนอีกฝ่ายยิ้มพรืดออกมา
"นายนี่มันขี้เล่นโคตรๆ"เด็กหนุ่มยิ้มแฉ่ง
พร้อมสบตาวาวเด็กสาวราวจะกลืนกินไม่หลบถอย
แล้วยกมือหนาข้างหนึ่งจับกุมมือเรียวเล็กของอีกคนขึ้นประทับริมฝีปากหยักเข้ม
นิศาชลมองลึกเข้าไปในแววตาคมฉาบคู่นั้นอย่างรู้สึกอบอุ่นซาบซ่านใจ
เด็กสาวโปรยยิ้มละไมบนใบหน้าระเรื่อแดงแล้วเสมองไปด้านอื่นอย่างมีจริตมารยา
ความรักอันหวานชื่นของทั้งสองดูคล้ายจะไร้ซึ่งขวากหนามมาขวางกั้น
จากวันเป็นเดือนจากเดือนสู่ฤดู
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปอย่างเร็วรี่ราวติดจรวด
สายลมหนาวพัดผ่านไปพร้อมดอกสุพรรณิการ์ที่ราโรย
สายฝนอันฉ่ำชื่นก็โปรยปรายลงมาแทนที่เป็นสัญญาณเริ่มต้นฤดูใหม่
เหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์การสอบไล่ปลายภาคประจำปีการศึกษา
๒๕๔๗ ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
นักศึกษาหลายคนต่างคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือและรีบเร่งทำงานส่งอาจารย์ประจำวิชาอย่างขมีขมัน
แต่เด็กหนุ่มสูงโปร่งคนหนึ่งกับเศร้าซึมท้อแท้สิ้นหวังราวโลกนี้หมดสิ้นซึ่งความสวยงาม
ฤดูฝนปีนั้นมาพร้อมกับข่าวร้ายที่ทำให้หัวใจของตะวันแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ทันทีที่ทราบว่านิศาชลจะย้ายไปเรียนที่อเมริกาในปีการศึกษาหน้าและจะออกเดินทางทันทีภายหลังสอบเสร็จ
ความหวังที่แตกหน่ออยู่ในใจของตะวันเรื่อยมานั้นก็พังทลายสูญสิ้นไม่หลงเหลือเศษเสี้ยวใดๆ
อีกต่อไป
ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนนิศาชลจะลาจากวิทยาลัยแห่งที่ราบสูงเชิงเขาและตะวันผู้เป็นดั่งเงาของความทรงจำที่จะติดตามเธอไปทุกแห่งหน
ทั้งสองได้นัดพบกันอีกครั้งตรงสแตนด์เชียร์ฝั่งตรงข้ามตึกสโมสรนักศึกษาภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้มไร้หมู่ดาวพราวแสง
บรรยากาศโดยรอบเงียบงันไร้เสียงหัวร่อต่อกระซิกของหนุ่มสาวคู่อื่นๆ
ดั่งเช่นวันวาน
"มีคนกล่าวไว้ว่าการพบกันเป็นสิ่งชั่วคราว
แต่การพลัดพรากจากกันเป็นสิ่งสมบูรณ์"
นิศาชลเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบของบรรยากาศอันแสนอึดอัด
"เราเข้าใจ...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเอกภาพของด้านตรงข้ามเสมอ
เมื่อมีความสุขก็ต้องมีความทุกข์
ความอิ่มไม่เคยสวยงามหากเราไม่เคยลิ้มรสความหิว
เราจะไม่มีวันเข้าใจมันเลย
หากเราไม่เคยพบพานอีกด้านของมัน
เช่นกัน เมื่อมีเริ่มก็มีจบ
เมื่อมีพบก็มีจาก
ไม่มีอะไรหนีกฏธรรมชาติข้อนี้ไปได้หรอก"
"แล้วอะไรทำให้คนสองคนต้องมาพบกันแล้ว...ก็รักกันล่ะ"
"มันเป็นกรรมเก่าที่ทำให้คนสองคนต้องกลับมารักกันทุกชาติไป
คนโบราณเชื่อกันว่าเนื้อคู่ของเราถูกกำหนดมาแล้ว
เราจะต้องตามหาคนที่มีด้ายสีแดงผูกที่นิ้วก้อยข้างซ้าย
ด้ายแดงจะนำให้คนทั้งสองมาพบกัน
และรักกันในที่สุด"
“…”
“ดิว...”
ตะวันหยุดเว้นระยะ
กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากแล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“เราจะได้พบกันอีกไหม”
โลกของตะวันดูเหมือนหยุดเคลื่อนไหว
ไม่มีกาลเวลา ไม่มีมวลอนุภาคใดๆ
แม้แต่ลมหายใจก็เหมือนจะหยุดนิ่ง
นิศาชลยกมือขึ้นตบไหล่ขวาของเด็กหนุ่มเบาๆ
ด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน
“เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
ตะวัน...
พรุ่งนี้เราจะได้พบอะไร
จะเป็นยังไง
ไม่มีใครล่วงรู้ชะตากรรมของตัวเองได้หรอก
แต่เราก็ต้องมีความหวังและความฝันเพื่อเป็นสิ่งสุดท้ายของหัวใจพองโต
สักวันโชคชะตาคงนำพาเราสองคนมาพบกันอีก”
“...”
“นี่แน่ะ...เรามีอะไรบางอย่างให้ตะวันเป็นที่ระลึกด้วย
จะได้คิดถึงกันตลอดไป”
เด็กสาวเปลี่ยนน้ำเสียงระรื่นเพื่อกลบเกลื่อนความโศกเศร้าในใจแล้วยกแขนข้างหนึ่งของตะวันขึ้นมาก่อนวางสร้อยคอโลมาลงไปบนฝ่ามือกว้าง
“เก็บไว้แทนความทรงจำและมิตรภาพของเราตลอดไปน่ะ
หวังว่าสักวันเราคงได้เจอกัน...”
มิทันที่นิศาชลจะพูดจบ
ตะวันก็ตวัดวงแขนแกร่งโอบกอดเด็กสาวอย่างแนบแน่นจนเจ้าของร่างเล็กแบบบางหายใจติดขัดเด็กหนุ่มจึงคลายวงแขนนั้นออกอย่างจำใจ...
...แล้วภาพในวันนั้นก็กลายเป็นอดีตที่ซุกซ่อนอยู่ในลิ้นชักความทรงจำของตะวันเรื่อยมา
ภายหลังสอบเสร็จ
นิศาชลก็ขนกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถตู้สีขาวแล้วรถก็วิ่งฉุยฉิวออกจากวิทยาลัยทันทีโดยมีตะวันติดตามไปส่งถึงสนามบิน
ในห้วงแห่งการโบกมือลาอาลัยตรงเขตผู้โดยสารขาออกนั้น
เด็กหนุ่มแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ดั่งมีดที่ปักลงกลางใจจนปวดร้าวเกินรับไหว
เด็กสาวน่ารักสดใสคนนั้นทำให้เขาบ้าคลั่งอยู่หลายเดือน
จนผองเพื่อนเป็นห่วงบ่วงใยต้องพาไปสังสรรค์เมามายทุกค่ำคืน
พี่ MeOMee ติด ลิงก์ของวัฒน์ไว้ที่บล็อกของพี่ที่นี่ค่ะ
ReplyDeletehttp://meomeediary.blogspot.com/
ช่วยกันโปรโมทงานดี ๆ ^^