Thursday, January 20, 2011

วัยฝัน วันวาน และรักของเรา บทที่ 3



-บทที่ 3-
ตอน: กระเพราไก่กรอบเลิศรส

บทเพลงยามท้องว่าง
. : กระเพราไก่กรอบร้านพี่หน่อย
. : แสนอร่อยถูกใจฉัน
(พร้อมกัน) ผองเพื่อนพร้อมหน้ากัน (2 ครั้ง)
ไปกินกันกระเพราไก่กรอบ (2ครั้ง)
. : กระเพราไก่กรอบ
กระเพราไก่กรอบ
. : ทุกคนชอบรสอาหาร
(พร้อมกัน) พี่หน่อยยิ้มเบิกบาน (2 ครั้ง)
เพิ่มปริมาณเท่าภูเขาไฟ (2ครั้ง)
โดย หนุ่มนิรนามแห่งลุ่มน้ำป่าสัก

แสงไฟจากสปอร์ตไลท์อันเจิดจ้าสาดจับชายร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวอ่อนคู่กับกางเกงขายาวสีเข้มทรงพอดีตัว สวมแว่นกรอบหนาเดินถือไมค์ลอยไปมาอยู่หน้าเวทีท่ามความสนใจจดจ่อของผู้ฟังที่อยู่แถวหน้าของหอประชุมฯ ส่วนพวกที่อยู่ด้านหลังใกล้ประตูเข้า-ออกนั้นกลับส่งเสียงหึ่งๆ เหมือนผึ้งแตกรังแอบซุบซิบคุยกันจนคนที่ยืนพูดอยู่บนเวทีต้องกระแอมกระไอแสร้งขับเสมหะในลำคอเสียงดังครืดคราด
"สงสัยเรื่องที่ผมเล่าคืนนี้คงน่าเบื่อมากเลยสินะ พวกที่อยู่แถวหลังถึงไม่สนใจฟังหรือว่าท้องมันเริ่มร้องครากๆ อยากไปกินข้าวร้านพี่หน่อยกันแล้ว นั่นแน่ะ...พูดยังไม่ทันขาดคำไอ้บิ๊กตีท้องป้าบๆ ให้เห็นซะแล้ว"
เสียงหัวเราะครืนใหญ่ดังขึ้นทั้งฮอลล์เมื่อคนที่ยืนอยู่บนเวทีเอ่ยแซวเจ้าบิ๊กที่นั่งอยู่หัวแถวหลังสุดกำลังเอามือลูบคลำท้องเท่าถังแก๊สไปมา เจ้าตัวรู้สึกเขินอายเมื่อตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งหอประชุมฯ จนหน้าบานเป็นซาลาเปา
"เอาล่ะ...เอาไว้ศุกร์หน้าผมจะมาคุยต่อแล้วกัน เห็นเจ้าบิ๊กนั่งตีพุงแล้วน่าอดสูใจเหลือเกิน"
เสียงหัวเราะชุดแรกยังไม่ทันจางหายก็ดังลั่นขึ้นมาอีกหน ส่วนบิ๊กก็ได้แต่นั่งอมยิ้มแห้งๆ จากนั้นชายร่างสูงกระแอมในลำคอดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณแก่ทุกคนว่าจะเริ่มกล่าวคำอธิษฐานปิดรายการ Vesper ของค่ำคืนวันศุกร์กันแล้ว เสียงหัวเราะจึงได้เงียบหายไป
ภายหลังอธิษฐานเสร็จ นักศึกษาก็เดินเบียดกันออกไปจากหอประชุมฯ อย่างเริงร่าแล้วเดินเป็นกลุ่มๆ แยกกันไปคนละทิศละทาง ส่วนใหญ่นั้นจะรวมกลุ่มกันแล้วตะบึงห้อมอเตอร์ไซด์ออกไปนอกแคมปัสเพื่อนัดสังสรรค์กินข้าวกันแถบแถวตลาดมวกเหล็กหรือไม่ก็ร้านอาหารใกล้กับวิทยาลัยแล้วกลับเข้าหอพักก่อนสี่ทุ่มซึ่งเป็นเวลาเคอร์ฟิวที่ปฏิบัติกันมานับแต่รุ่นบุกเบิกสืบทอดจนถึงรุ่นปัจจุบัน แต่นั่นก็หามีใครใส่ใจกับกฏระเบียบดังกล่าวสักเท่าไหร่ ยังมีนักศึกษาบางกลุ่มมักกลับเข้าหอพักหลังสี่ทุ่มอยู่เสมอ บางครั้งพ่อบ้านจับได้ก็ว่ากล่าวตักเตือนและลงโทษกันไปแต่ก็ยังมีบางคนฝ่าฝืนข้อบังคับนั้นอยู่ไม่เคยขาด จึงเป็นสาเหตุทำให้วิทยาลัยต้องออกกฏระเบียบที่เคร่งครัดยิ่งขึ้นในปีถัดมา
ตะวัน บิ๊ก โป้ง แม็กและจ๋อม บึ่งมอเตอร์ไซด์มุ่งสู่ร้านพี่หน่อยที่อยู่ห่างจากวิทยาลัยประมาณ 400 เมตร พอทั้งหมดมาถึงร้านก็รีบจ้ำอ้าวไปจองโต๊ะด้านหลังทันที นักศึกษาจำนวนมากนั่งพูดคุยทานข้าวกันเต็มร้าน บ้างนั่งเป็นกลุ่มส่งเสียงเฮฮาป่าลั่น บ้างนั่งเป็นคู่หยอกเอินกันสนุกสนาน บรรยากาศแห่งค่ำคืนนี้ดำเนินไปอย่างครึกครื้นรื่นเริง สดใสไปด้วยรอยยิ้มพริ้มพรายของเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาว ความนิยมชมชอบในร้านพี่หน่อยนั้นทำให้บางคนต้องโทรฯ สั่งจองโต๊ะและอาหารล่วงหน้าโดยเฉพาะในค่ำคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ มิเช่นนั้นแล้วหลายคนอาจต้องนั่งแกร่วรอคิวของตัวเองจนท้องไส้ลั่นโครกครากให้งุ่นง่านพล่านอารมณ์ กลุ่มของตะวันสำเหนียกข้อนี้อยู่เป็นนิจ จึงโทรฯสำรองโต๊ะล่วงหน้าก่อนนมัสการเย็นวันศุกร์หาไม่แล้วเจ้าบิ๊กคงได้โวยวายลั่นทุ่งเป็นช้างตกมันเดือนร้อนกันอาน
เมนูรสเด็ดของร้านพี่หน่อยคือ กระเพราไก่กรอบ ใครต่อใครที่ได้ลิ้มรสอาหารจานนี้ต่างติดอกติดใจจนต้องชูหัวนิ้วโป้งขึ้นบอกว่า สุดยอด บางคนยกให้เป็นอาหารสุดฮิตของนักศึกษาวิทยาลัยกลางหุบเขาแห่งนี้เลยทีเดียว กระแสการบอกต่อจากปากสู่ปากทำให้หลายคนอดรนทนไม่ไหวต้องมาทดลองชิมเมนูนี้ด้วยตนเอง อาจเรียกได้ว่าจุดขายของร้านพี่หน่อยก็คือกระเพราไก่กรอบนั่นเอง
พี่หน่อยเป็นหญิงสาววัยกลางคน รูปร่างพ่วงพีตุ๊ต๊ะน่ารัก แกเป็นคนใจเย็นราวกับน้ำแข็งในช่องฟรีซ มีความนุ่มนวลในน้ำเสียงราวปุยนุ่นกลางอากาศ มีความซื่อตรงจนลืมเรื่องขาดทุนสูญกำไร ต่อสู้ชีวิตมาด้วยความยากลำบาก ฝ่าฟันมรสุมที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตอย่างไม่หวั่นไหว ปากกัดตีนถีบล้มลุกคลุกคลาน พอตั้งตัวติดแบบถลอกปอกเปิกก็โยกย้ายสำมะโนครัวมาลงหลักปักแหล่ง ณ ดินแดนแห่งนี้พร้อมกับคู่ทุกข์คู่ยากอย่างพี่จรูญ พนักงานขับรถของศูนย์สุขภาพแห่งหนึ่ง จนมีพยานรักเป็นหนุ่มหล่อสาวสวยสองหน่อด้วยกัน
บางครั้งพี่หน่อยดูเป็นคนคิดมาก จนหลงลืมอาหารที่ลูกค้าสั่งหรือเผลอไผลทำผิดเมนูไป ครั้งหนึ่งเจ้าบิ๊กสั่งกระเพราไก่กรอบไข่ดาวแล้วนั่งอ่านหนังสือพิมพ์หัวสีรออย่างมีความสุข แต่เมื่อรับอาหารในกล่องโฟมสีขาวกลับต้องผิดหวังแทบร้องไห้เพราะกระเพราไก่กรอบที่วาดฝันกลับกลายเป็นกระเพราไก่ไข่ดาวไปเสียฉิบ ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ นั้นหลายคนกลับมองเป็นเรื่องขบขันมากกว่าจะแปรเปลี่ยนเป็นอคติในใจเพราะความซื่อตรงของแกทำให้พวกเรายิ้มได้อย่างไม่มีเคือง
คืนวันนั้นอากาศหมาดชื้น ด้วยเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาตอนหัวค่ำยังทิ้งร่อยรอยความชุ่มฉ่ำไว้ตามต้นไม้ใบหญ้า ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงดาวพราวพร่าง รถมอเตอร์ไซด์วิ่งเข้าออกร้านพี่หน่อยไม่ขาดสาย เจ้าของเมนูเด็ดสะระตี่ยุ่งหน้ามันอยู่ในห้องครัว ส่วนสามีและลูกทั้งสองช่วยกันเสริฟอาหารให้กับลูกค้ามือเป็นระวิง เมื่อรายการอาหารที่สั่งมาครบแล้ว ตะวัน บิ๊ก โป้ง แม็ก และจ๋อม ต่างรีบจัดการเมนูตรงหน้าอย่างแคล่วคล่องว่องไว กระเพราไก่กรอบพูนจานส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายใครต่อใคร เนื้อไก่หั่นเป็นชิ้นกรอบนอกนุ่มในฉ่ำซอสปรุงรสและน้ำมันหอยโรยหน้าด้วยใบกระเพราทอดกรอบ ตักชิ้นเนื้อคลุกกินกับข้าวหอมมะลิร้อนๆ กรุ่นกลิ่นอ่อนนุ่ม ใช้ลิ้นสัมผัสอาหารอย่างละเมียดละไม รสชาติอร่อยเหาะถูกลิ้นจนแทบไม่อยากกลืนลงคอเลยทีเดียว อีกเมนูเลิศรสคือต้มข่าไก่ ชิ้นไก่พอคำลอยนิ่งอยู่ในน้ำแกงสีขาวเข้มข้น รสชาติกลมกล่อมด้วย ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ต่างคนต่างซดน้ำร้อนๆ เสียงดังโฮกฮาก เจ้าบิ๊กแย่งตักชิ้นเนื้อกับแม็กจนน้ำแกงในถ้วยเริ่มกระฉอก เดือดร้อนถึงจ๋อมต้องโวยวายขึ้นว่า
"อย่าแด๊กตะกรุมตะกรามนักสิ! แย่งกันเหมือนเด็กๆ ไปได้ "
แม็กได้ยินเข้าดังนั้นก็ประชดประชันกลับไปว่า
"แหม! มนัญญาพูดอย่างนี้ก็ซดน้ำแกงไปแล้วกัน"
พูดจบ แม็กก็ตักน้ำแกงสีขาวขุ่นที่มีข่า ตะไคร้ติดไปด้วยราดรอบๆ จานข้าวของจ๋อมเป็นเชิงสัพยอกหยอกเย้ามากกว่าจะกลั่นแกล้งเด็กสาวให้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด จ๋อมเห็นดังนั้นจึงทำหน้าเบ้พลางเอ่ยตำหนิว่า
"ดูแม็กดิ เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้"
แม็กกลัวเพื่อนขึ้งโกรธจึงกลบเกลื่อนอารมณ์นั้นด้วยการตักเนื้อชิ้นสุดท้ายลงไปในจานเพื่อนอย่างเอาอกเอาใจ ขณะที่เจ้าบิ๊กไม่สนใจใครตักกระเพราไก่กรอบเข้าปากและเคี้ยวหงับๆ สองสามทีก่อนกลืนลงคออย่างเอร็ดอร่อย
อีกสองเมนูที่เรียกน้ำลายสอไม่แพ้ใครคือไก่กระเทียมกับไก่ผัดน้ำพริกเผาเรียกได้ว่าอาหารมื้อนั้นเต็มไปด้วยไก่วิ่งเพ่นพ่านทั่วโต๊ะเลยทีเดียว ต่างอิ่มหนำสำราญกันถ้วนทั่วโดยเฉพาะบิ๊กที่สวาปามไปถึงสองจานใหญ่ๆ แทบพุงแตกจนต้องปลดตะขอกางเกงคลายความอึดอัดคับแน่นตรงหน้าท้องแล้วเอ่ยขึ้นเป็นภาษาปะกิตสั้นๆ ว่า "That's it for today."
ภายหลังกินกันเสร็จสรรพก็เป็นเวลาใกล้สี่ทุ่ม ร้านพี่หน่อยเริ่มบางตา มอเตอร์ไซด์หลายคันส่งเสียงแป๊ดแปร๋นวิ่งกลับเข้าวิทยาลัย กลุ่มของตะวันเอ่ยลาพี่หน่อยและพี่จรูญที่หน้าร้าน ฟ้าเริ่มร้องครั่นครืนดังปืนใหญ่ ลมแรงกระโชกโฮกฮากพัดโยกกิ่งไม้ไหว ตะวันและผองเพื่อนกลับไปแล้ว พร้อมกับสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วง ประตูเหล็กม้วนหน้าร้านพี่หน่อยถูกดึงลงปิดมิดชิด เสียงลมพัดหวิดหวิวแข่งกับเสียงฟ้าฝนโครมครามดังอยู่ข้างนอก พี่หน่อยนั่งลงตรงโต๊ะไม้ในร้าน มีพี่จรูญนั่งอยู่ตรงข้าม ธนบัตรหลายสีคลี่วางบนโต๊ะพร้อมกับสมุดจดบัญชีรายวันสีฟ้าและเครื่องคิดเลขขนาดเล็กหนึ่งเครื่อง
"บวก ลบ คูณ หาร แล้วได้กำไรไม่กี่ตังค์เองพ่อ พรุ่งนี้ก็ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ไหนค่าน้ำ ค่าไฟอีกจิปาถะ ไม่รู้เดือนนี้จะเหลือพอจ่ายค่าเทอมให้ไอ้แดงมันหรือเปล่า ตอนนี้ทางโรงเรียนก็ส่งจดหมายทวงหนี้มาแล้ว" น้ำเสียงของคนพูดระทดท้อพร้อมเสียงทอดถอนใจอย่างหน่วงหนัก
"เอานา....อย่าไปคิดมากพรุ่งนี้เงินเดือนพี่ก็ออกแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดปวดสมองเปล่าๆ"
หนุ่มใหญ่วัยชนสี่สิบได้แต่ปลอบประโลมใจคู่ทุกข์คู่ยากมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันให้มีกำลังใจต่อสู้กันใหม่
สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟ้าร้องครั่นครืนสลับแสงแลบแปลบปลาบ ไฟในร้านพี่หน่อยปิดลงแล้ว แต่หัวใจของพี่หน่อยยังว้าวุ่นถึงแต่เรื่องพรุ่งนี้อยู่ร่ำไป
"หลับเถิดแม่...อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเลย ทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม แค่นี้เราก็มีความสุขแล้วล่ะ"
คำพูดของพี่จรูญทำให้หญิงสาวผู้ผ่านความยากลำบากมาค่อนชีวิตคลี่ยิ้มบางๆ บนใบหน้าแล้วหลับตาลงอย่างอ่อนล้าในหัวใจ...

1 comment:

  1. วันนี้ได้ข่าวว่าร้านพี่หน่อยปิดแล้ว และแกก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น ฟังแล้วเศร้าจัง ขอสัญญาว่าจะตั้งใจเขียนนวนิยายเรื่องนี้ให้จบ (ตอนนี้ผู้เขียนยุ่งอยู่กับงานประจำและงานส่วนตัวเลยไม่มีเวลาเขียนเรื่องนี้ต่อเลย)

    ReplyDelete