Sunday, January 23, 2011

วัยฝัน วันวานและรักของเรา บทที่ 4


-บทที่ 4-

ตอน: ไดอารี่ของตะวัน


'จารึกเอาไว้ที่นั่น

อนุสาวรีย์แห่งวัยเยาว์

วันคืนก่อนเก่า

ที่เรียกร้องโหยหา'


โดย มุฮัมหมัด ส่าเหล็ม

31 พฤษภาคม 2547

วันนี้ทางวิทยาลัยนำโดยสโมสรนักศึกษา (Student Council) จัดต้อนรับน้องใหม่โดยพาไปบำเพ็ญประโยชน์ที่เทศบาลอำเภอมวกเหล็ก ภายหลังเก็บกวาดขยะและปลูกต้นไม้เสร็จสรรพ พวกเราก็เดินทางต่อไปที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันแสนร่มรื่น พอไปถึงที่นั่น พวกเราก็พักรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันจนอิ่มหนำสำราญ ตกบ่ายคุณวิธิตา หญิงสาววัยเลยกลางคนเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ก็ได้กล่าวต้อนรับพวกเราอย่างเป็นทางการพร้อมทั้งเล่าถึงประวัติดงพญาเย็นเมื่อห้าสิบปีก่อนอย่างตื่นเต้นเร้าใจ ณ เวลานั้นแถบแถวอำเภอมวกเหล็กยังเป็นป่าหนาทึบอยู่ในพื้นที่ที่เรียกกันว่า ดงพญาไฟ ป่าผืนใหญ่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอาถรรพ์ลี้ลับมากมายและมีเสือสมิงจำแลงแปลงกายเป็นใครต่อใครอยู่กลางดงหนาทึบราวกับเรื่อง เพชรพระอุมา สุดยอดนวนิยายแนวแฟนตาซีของนักประพันธ์เลื่องชื่อ พนมเทียน ทว่าภายหลังถนนมิตรภาพตัดผ่านความน่ากลัวของป่าดงดิบผืนนี้ก็ค่อยๆ เลือนลางหายไปและในที่สุดก็เหลือไว้เพียงตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาเท่านั้น

พวกเรานักศึกษาใหม่ได้ฟังดังนั้นต่างขนลุกเกรียวเสียวซ่านให้ประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก โดยเฉพาะหนุ่มเจ้าเนื้อที่นั่งอยู่ใกล้ข้าพเจ้ามองไปรอบๆ ตัวด้วยความระแวงสงสัย ข้าพเจ้ามองดูด้วยความขบขันในสีหน้าท่าทางของเพื่อนร่วมรุ่นคนนี้

จากนั้นพวกเราก็ออกเดินสำรวจป่าหลังรีสอร์ทของคุณวิธิตาที่รกครื้มด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบวังเวง กลิ่นอับสาบสางลอยวนไปทั่ว ถ้าไม่มีต้นมะม่วงตามสองข้างทางเดินก็อาจนึกไปว่ากำลังเดินอยู่ในป่าดงดิบที่ไหนสักแห่ง ข้าพเจ้าเห็นพวกกิ้งกือยักษ์คืบคลานอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้สร้างความประหลาดใจแก่ข้าพเจ้าไม่น้อยเพราะไม่เคยเห็นเจ้าหลายขาตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน พอเดินต่อไปไม่กี่ก้าว ข้าพเจ้าต้องผงะชักเท้ากลับแทบไม่ทัน เมื่อเผชิญกับเจ้าแมงป่องตัวเขื่องผิวดำเป็นเงาแวววาวเกาะอยู่บนท่อนซุงที่เน่าเปื่อยอยู่บนพื้นหญ้าห่างจากข้าพเจ้าเพียงก้าวเดียว หนุ่มตุ้ยนุ้ยที่เดินตามหลังข้าพเจ้ามองภาพเบื้องหน้าด้วยความตื่นตกใจ ยังไม่ทันหายใจได้ทั่วท้องเราสองคนก็ได้ยินเสียงสวบสาบมาจากพงหญ้าข้างป่าละเมาะ หนุ่มตุ๊ต๊ะกระโดดผลุงมาแอบอยู่ด้านหลังข้าพเจ้าแล้วชะโงกหน้ามองผ่านไหล่อย่างตื่นตระหนก ข้าพเจ้าเหลียวมองหน้ามันอย่างขอความเห็น แต่หนุ่มเจ้าเนื้อได้แต่อ้าปากค้างแล้วส่ายหัวด็อกแด็กแทนคำตอบ ข้าพเจ้ารีบคว้าไม้ปล้องบนทางเดิน เตรียมพร้อมรับมือกับการจู่โจมของสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาทุกขณะและจังหวะที่ข้าพเจ้ากำลังจะยกไม้ขนาดเขื่องในมือฟาดใส่เจ้าของเสียงสวบสาบในพุ่มหญ้านั้นก็มีมือหนึ่งมารั้งเอาไว้

"ช้าก่อนนาย นั่นมันเพื่อนเราเอง" ข้าพเจ้าหันไปตามทิศทางของเสียงนั้น ปรากฏเด็กหนุ่มผิวขาวคนหนึ่งยืนมองข้าพเจ้าด้วยแววตาที่เป็นมิตร ทันใดนั้นปรากฏชายหนุ่มผิวคล้ำอีกคนออกมาจากพุ่มหญ้าตรงนั้นพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า

"โทษทีที่ทำให้พวกนายตกใจ พอดีเราเข้าไปเก็บมะม่วงในนั้นแล้วมุดออกทางนี้"

หนุ่มผิวเข้มคนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน ข้าพจ้าปล่อยลมพรูออกจากปาก ส่วนเจ้าคนที่แอบอยู่ด้านหลังข้าพเจ้าเมื่อสักครู่ยืนก้มหน้าเล็กน้อยพลางถอนหายใจโล่งอก พวกเราสามคนหันไปมองมันก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน

วันนี้ข้าพเจ้าได้เพื่อนใหม่สามคน คือ หนุ่มเจ้าเนื้อที่ชื่อว่า บิ๊ก เจ้าคนหุ่นเพรียวบาง ผิวขาวสะอาด นามว่า โป้ง และคนตัวสูงโปร่ง ผิวคล้ำและกำยำอย่างนักกีฬาว่ายน้ำที่แทนชื่อตัวเองว่า แม็ก พวกเราพูดคุยถูกคอกันอย่างรวดเร็วและกลายมาเป็นเพื่อนร่วมแก๊งแห่งคณะมนุษย์อิ๊งโดยปริยาย

กิจกรรมต้อนรับน้องใหม่ของสถาบันนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย เน้นการทำความรู้จักคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นพี่ของแต่ละคณะ ไม่มีระบบโซตัสแบบมหาวิทยาลัยอื่น ไม่มีการรับน้องหรือเข้าซ้อมเพลงเชียร์โดยการบังคับขู่เข็ญและอ้างว่าเพื่อฝึกรุ่นน้องให้มีความเข้มแข็งและอดทนกับความกดดันทั้งหลายแหล่ ปัญญาชนพูดคุยกันด้วยปัญญาไม่ใช่ด้วยความบ้าของความรุนแรง

หลังจากกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่ในช่วงกลางวันผ่านพ้นไป พวกเราก็พากันกลับวิทยาลัย พร้อมกับได้สถานภาพการเป็นนักศึกษาแห่งสถาบันเหลือง-น้ำเงิน โดยสมบูรณ์........


10 มิถุนายน 2547

คณะมนุษยศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษนั้นหลายคนเรียกขานเพียงสั้นๆ ว่า 'มนุษย์อิ้ง' ข้าพเจ้ามีความรู้สึกเหมือนหนึ่งว่านักศึกษาที่เรียนคณะนี้คือมนุษย์อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ไม่ใช่พวกโฮโม เซเปียนส์ที่เป็นสายพันธุ์ของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน มนุษย์อิ้งอย่างพวกเรามีอิสระในความคิดสูง ชอบจินตนาการฝันเฟื่องบ้าบอคอแตก ช่ำชองในการสร้างภาพจากตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว และหยั่งรู้ผู้อื่นประหนึ่งว่าเรานั้นมีฌาณสามารถทะลุทะลวงลงไปถึงก้นบึ้งความคิดของพวกเขาเหล่านั้น ทั้งหมดทั้งปวงนี้คือลักษณะทั่วไปของมนุษย์อิ้งผู้ต้องใช้สมองซีกซ้ายวิเคราะห์และตีความงานเขียนหลากหลายรูปแบบ มีความเชี่ยวชาญในการผูกเรื่องถอดความโดยสมองซีกขวาและเจาะลึกถึงกึ๋นของเหล่าอัฉริยะกวีโลก อย่างลีโอ ตอลสตอย, เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์, โฟร์แบร์ท, ชาร์ลส์ ดิคเก้นส์, หรือแม้กระทั่ง เอมิลี ดิกคินสันผู้มีชีวิตโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเพื่อสกัดเอาความคิดของพวกเขาที่ซ่อนซุกอยู่ในผลงานเขียนออกมา

ข้าพเจ้า บิ๊ก โป้ง และแม็ก เรียนอยู่คณะเดียวกันแต่มีความบ้าบอต๊องบ๊องไปคนละแบบ บิ๊กเป็นหนุ่มจอมซ่าลีลาฮิพฮอพ โป้งคือหนุ่มอินเทรนด์สไตล์เกาหลี แม็กนั้นสุดเซี้ยวคาสโนว่าตัวพ่อและข้าพเจ้าผู้หลงไหลกลิ่นกระดาษและหมึกพิมพ์ ไม่กี่วันมานี้พวกเราได้ต้อนรับน้องใหม่อีกคนที่เพิ่งย้ายมาจากคณะบริหารธุรกิจ เธอเป็นเด็กสาวจอมแก่นหัวใจอิสระ รักสายลมแสงแดดมากกว่าตัวเลขทางคณิตศาสตร์ พวกเราเรียกเธอสั้นๆ ว่า จ๋อม หรือบางครั้งถ้าหมั่นไส้นักก็เรียกว่า ยัยจ๋อม

ในคณะของเรามีนักศึกษาต่างชาติร่วมเรียนอยู่ด้วยและมีเด็กสาวขาวหมวยคนหนึ่งซึ่งเป็นขวัญใจของพวกเราหลายคน (ยกเว้นยัยจ๋อม) หุ่นบึ่บบั่บอวบอิ่มของเธอเผารนหัวใจของพวกเราแทบละลายเป็นน้ำ ท่วงท่าเดินนั่งของหล่อนทำให้เลือดกำเดาไหลซิบๆ น้ำเสียงของเธอฟังคล้ายปลายมีดบาดลึกถึงใจ คาบไหนที่เธอนั่งเรียนอยู่ด้วยจิตใจของพวกเราก็พลันเตลิดเปิดเปิงไปไกลสุดเขตขวางกั้น บางคนต้องปฏิบัติอานาปานสติภาวนา กำหนดลมหายใจเข้าออก ยุบหนอ พองหนอ แต่บางครั้งก็เผลอไผลกลายเป็น ยุบหนอ พองหนอ ขาวหนอ อวบหนอ....


15 กรกฏาคม 2547

เข้าสู่เดือนกรกฏาคม เดือนแห่งสายฝนฉ่ำชื่น ที่นี่ฝนตกหนักทุกวัน ตกกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา 'ฝนตกแบบนี้ คนน่าจะทำอาชีพรองน้ำฝนขายกันบ้าง' สำนวนเพรียวลมของ อาจินต์ ปัจจพรรค์ ผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของข้าพเจ้า

สองเดือนแล้วสินะ ที่ข้าพเจ้าเข้ามาศึกษาอยู่ ณ สถาบันแห่งนี้ สองเดือนที่เต็มไปด้วยกิจกรรมและความสนุกสนานมากมาย เป็นสองเดือนแห่งการเรียนรู้ถึงความเป็นไปในสังคมวิทยาลัยแห่งเชิงเขาซึ่งโดดเด่นในความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม แต่ความแตกต่างเหล่านี้ไม่ใช่อุปสรรคของคำว่ามิตรภาพแต่อย่างใด พวกเราเหล่านักศึกษารวมทั้งคณาจารย์และพนักงานทั้งหลายล้วนมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกันทั้งนี้ทั้งนั้นอาจเป็นเพราะจำนวนนักศึกษาและบุคลากรในสถาบันแห่งนี้มีไม่มากนักแต่เหนือสิ่งอื่นใดข้าพเจ้าเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจว่าพื้นฐานความเชื่อในเรื่องศาสนาเดียวกันนั้น (มากกว่า 80% ของนักศึกษาและบุคลากรที่นี่เป็นเซเวนเดย์แอ๊ดเวนตีสท์) เป็นดั่งสายโซ่ที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันได้ดีทีเดียว ข้าพเจ้าเคยสงสัยเกี่ยวกับพิธีกรรมต่างๆ ที่ยึดถือปฏิบัติกัน ณ สถาบันแห่งนี้นับตั้งแต่การนมัสการในแต่ละค่ำคืน การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า การเข้าโบสถ์ในวันเสาร์ที่เรียกว่าวันสะบาโต ความเชื่อในเรื่องการฟื้นคืนชีพของร่างกายในวันตัดสิน การอธิษฐานหรือแม้กระทั่งพระคัมภีร์เล่มหนาเตอะที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอ้างอิงต่างๆ มากมาย เหล่านี้ล้วนเป็นข้อสงสัยที่เป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ให้ข้าพเจ้ามุ่งมั่นค้นหาคำตอบและเมื่อเวลาผ่านไปข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเหล่านี้อย่างประหลาดล้ำ หลักคำสอนและความเชื่อต่างๆ ได้ถูกป้อนเข้าไปในหน่วยความจำของข้าพเจ้าอย่างสม่ำเสมอแม้กระทั่งในกระดาษข้อสอบปลายภาคยังปรากฏคำถามว่าด้วยความเชื่อในพระคัมภีร์จนความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ได้ซึมซับเข้าไปในใจของข้าพเจ้าโดยไม่รู้ตัว

สังคมของวิทยาลัยแห่งนี้เป็นสังคมเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น มีหอพักเป็นสีสันและมีกิจกรรมเป็นมิตรภาพเชื่อมใจ พวกเราพูดคุยทักทายกันด้วยรอยยิ้มแจ่มจ้า ไม่แบ่งสังคมชนชั้นหรือชาติพรรธุ์วรรณนา เรามีนักศึกษาอายุมากสุด 60 ปีและอายุน้อยสุด 17 ปีต่างกันราวปู่กับเหลน มีห้องน้ำอยู่ทุกชั้นของตึกราวกับว่าพิพิธภัณฑ์ห้องน้ำแห่งชาติตั้งอยู่ที่นี่ เรามีแคชเชียร์สมองเลิศประจำโรงอาหารของเรา คุณเธอสามารถจำรหัสของนักศึกษาที่มีไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคนได้ครบถ้วนไม่ขาดไม่เกินเพียงแค่สบสายตาบ้องแบ๊วของพวกเราแต่ละคน หล่อนก็สามารถป้อนหัสฯ ข้อมูลลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ของโรงอาหารได้ทันใจสร้างความประหลาดล้ำแก่ข้าพเจ้าไม่น้อยเลยทีเดียว และเหนือสิ่งอื่นใด เรามีร้านอาหารระดับโลกตั้งอยู่บริเวณโดยรอบของวิทยาลัย อาทิ ร้านนิวยอร์ค ร้านนิวซีแลนด์ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นชื่อร้านอาหารตามสั่งที่พบเห็นโดยทั่วไปแต่พวกเราหลายคนกลับเรียกขานกันเสียใหม่ตามแบบฉบับของนักศึกษาภาคอินเตอร์!

10 กันยายน 2547

เช้านี้ตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส ความฉ่ำชื่นของเม็ดฝนโปรยเมื่อตอนหัวรุ่งยังเกาะพราวตามยอดหญ้าแก่ใบไม้เขียว หมู่นกส่งเสียงเจื้อยแจ้วบินถลาออกจากรังข้ามเส้นขอบฟ้าไปไกลแสนไกล อา...อิสระภาพช่างงามเงื่อนเสมอ

ภายหลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพ ข้าพเจ้ารีบวิ่งหน้าตั้งไปเรียนคาบแรกแทบไม่ทัน ภายในห้องสโลพของวิชา Fine Arts เต็มไปด้วยนักศึกษาจำนวนมาก ต่างคนต่างจดเล็กเชอร์หน้าดำคร่ำเคร่ง ภาพวาดของจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ชาวฝรั่งเศส Edgar Degas เด่นหราอยู่บนจอสไลด์โปรเจคเตอร์ ด้านหน้าห้องเรียน มีอาจารย์ฝรั่งไว้หนวดหร็อมแหร็มยืนถือเลเซอร์พอยเตอร์ชี้ไปยังภาพสไลด์เหล่านั้นพลางอธิบายเป็นภาษาปะกิตเร็วปรื๋อ

ภาพวาดของ Edgar Degasโดดเด่นในเรื่องการใช้ดินสอสี (Pastel) ครั้นเมื่อตาบอดจิตรกรท่านนี้ก็ยังสามารถสรรสร้างงานศิลปะได้อย่างอัศจรรย์ใจ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้สัจธรรมข้อหนึ่งว่าศิลปินระบือโลกหลายท่านล้วนมีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญ ยามมีชีวิตอยู่ก็หามีใครสนใจผลงานของพวกเขาแต่อย่างใดไม่ แต่ครั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว ไฉนผลงานของพวกเขาจึงโดดเด่นมีค่าขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจเป็นที่สุด

ตกบ่ายวันนี้ ข้าพเจ้าไปกินกระเพราไก่กรอบที่ร้านพี่หน่อย ภายหลังอิ่มแปล้ก็นั่งพูดคุยถามไถ่เกี่ยวกับธุรกิจของเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเอง พี่หน่อยสาธยายให้ฟังว่าในแต่ละวันนั้นได้กำไรไม่มากนักเพราะมีรายการสินค้าต้องซื้อจ่ายมากมาย อีกทั้งราคาสินค้าเดี๋ยวนี้พุ่งขึ้นพรวดพราดจนแกตกใจ ยกตัวอย่างเช่นเศษเนื้อไก่ที่ใช้ทำกะเพราไก่กรอบ ตะก่อนราคาเพียงกิโลฯ ล่ะ 35 บาท ปัจจุบันราคาพุ่งขึ้นเป็นเท่าตัวอยู่ที่ 65 บาท น้ำมันปรุงอาหารก็เช่นกัน จากกิโลฯ ล่ะ 35 บาท เดี๋ยวนี้ราคาติดจรวดพุ่งขึ้นไปที่ 50 กว่าบาทแล้ว รายการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้แกอึดอัดใจไม่น้อยในการจะปรับเปลี่ยนราคาอาหาร แต่ตะแกยืนยันกับข้าพเจ้าอย่างหนักแน่นว่าจะพยายามคงราคาอาหารไว้เท่าเดิมให้นานที่สุด ได้ฟังดังนั้นข้าพเจ้ารู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที

วันนี้ไออย่างหนัก รู้สึกมีไข้ น้ำมูกไหล จึงรีบกินยาแล้วเข้านอนแต่หัวค่ำ

23 ตุลาคม 2547

บ่ายแก่ๆ ของวันนี้ ข้าพเจ้า บิ๊ก โป้ง แม็ก จ๋อมและเพื่อนชาวต่างชาติอีกสามคนตะบึงมอเตอร์ไซด์คันเก่าบุโรทั่งออกจากวิทยาลัยมุ่งหน้าสู่น้ำตกเจ็ดสาวน้อยตามที่ได้เอ่ยชวนกันไว้ พอพวกเราไปถึงที่หมายและหาที่ปูเสื่อเรียบร้อยเสร็จสรรพ ก็พากันนั่งล้อมวงสังสรรค์กันเมามาย แดดจัดจ้าร้อนอบอ้าวยิ่งนักจนทำให้พวกเราหลายคนกระโดดลงน้ำกันพัลวัน พอเหล้าพร่องไปครึ่งขวด พวกเราก็เล่นเกมที่มีชื่อสั้นๆ ว่า โป้ง อย่างเพลิดเพลิน

กติกาการเล่นก็มีอยู่ว่าใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นก่อนว่าจะให้ โป้ง กี่ครั้ง สมมติข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นว่า สามโป้ง ก็จะนับไล่กันไป หนึ่ง สอง สาม โดยเริ่มจากคนที่อยู่ด้านขวามือข้าพเจ้าเป็นคนแรกจนถึงคนที่สามส่วนคนที่นั่งถัดไปจากคนที่สามต้องเอ่ยคำว่า อะ และเป็นผู้กำหนดจำนวน โป้ง ต่อไปสลับหมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ หากใครในกลุ่มตามไม่ได้ไล่ไม่ทันจนเกิดเป็นความผิดพลาดขึ้นมา บทลงทัณฑ์ที่จะได้รับก็คือการกระดกเหล้ารวดเดียวหมด เกมนี้ทำให้ข้าพเจ้าหวนนึกถึงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เมื่อมีเด็กหนุ่มตาน้ำข้าวคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของจ๋อมมาเที่ยวพักผ่อนที่เมืองไทยแล้วแวะมาเยี่ยมเยียนพวกเราที่วิทยาลัย คืนนั้นข้าพเจ้า บิ๊ก โป้ง แม็ก และเด็กหนุ่มฝรั่งคนนั้นนั่งดื่มกันที่ร้านพี่หน่อยอย่างสนุกเฮฮา พอเบียร์พร่องไปประมาณครึ่งเหยือก พวกเราก็เล่นเกมที่เรียกว่า คิงส์คัพ อย่างสนุกสนาน ผลปรากฏว่าข้าพเจ้าโชคดีได้เป็นคิงจึงมีอำนาจสั่งให้ใครก็ได้ในกลุ่มเป็นคนจัดการเบียร์ที่เหลือให้หมดเหยือก ข้าพเจ้าไม่อยากทำร้ายน้ำใจเพื่อนจึงไม่ได้ใช้สิทธิ์นั้นแต่อย่างใดเพียงแต่ตั้งกติกาขึ้นมาว่าข้าพเจ้าจะนับหนึ่งถึงสิบไล่ไปทีละคนจากซ้ายไปขวา คนโชคร้ายที่ถูกนับสิบจะต้องกระดกเบียร์ที่เหลือให้สิ้นซาก และค่ำคืนนั้นความซวยก็ตกอยู่กับเจ้าบิ๊กอย่างน่าสงสาร มันเมาหยำเปชนิดไม่รู้ฟ้ารู้หมอกว่าเกิดอะไรขึ้น

วันนี้ก็เช่นกัน พอพวกเรากลับมาจากน้ำตกเจ็ดสาวน้อยเมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้ว เจ้าบิ๊กก็รีบเข้านอนทันทีทันใด ส่งเสียงกรนครืดคราดลั่นห้องเพราะเหล้าที่เหลือครึ่งขวดในตอนบ่ายนั้นถูกแบ่งให้เจ้าบิ๊กคนเดียวถึงสองในสามแล้วอย่างนี้ถ้ามันไม่หลับเป็นตายก็ต้องเรียกว่าคอทองแดงขั้นเทพแล้วล่ะ

2 พฤศจิกายน 2547

สวยเอ๋ยสวยดอกสุพรรณิการ์ ช่างงามโสภาสุพรรณิการ์ในดวงใจฉัน

เข้มแข็งอดทนและใจคงมั่น ศรัทธาสถาบันนามมิชชันนี้

ศักดิ์ศรีเกริกไกร ลำบากเท่าไหร่ก็ไม่ย่อท้อ

จะขอหยัดยืนสร้างสรรค์สิ่งดี ดั่งที่ฝันใฝ่

ยึดมั่นทำงานเพื่อปวงชน คุณธรรมเปี่ยมล้นในหัวใจ


นี่เป็นบทเพลงประจำวิทยาลัยแห่งที่ราบเชิงเขา สุพรรณิการ์หรือดอกฝ้ายคำเป็นดอกไม้ประจำวิทยาลัยแห่งนี้ ดอกสีเหลืองอร่ามบนยอดต้นคือสัญลักษณ์แห่งลมหนาวที่ตราตรึงอยู่ในใจข้าพเจ้าเรื่อยมา

ฤดูหนาวของปีนี้ข้าพเจ้าออกวิ่งทุกเช้าตั้งแต่ตีนฟ้ายังไม่เปิด ในขณะที่รูมเมทร่างใหญ่ของข้าพเจ้ายังนอนหลับสบายอยู่ในผ้าห่มอุ่นหนา ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาเพื่อสัมผัสละไอหมอกที่ลอยฉ่ำชื่นอยู่ในอากาศ วิ่งฝ่าความหนาวเหน็บจนแลเห็นควันกรุ่นบางออกมาตามลมหายใจ ใช่เพียงแต่ลมหนาวและสายหมอกที่ปลุกข้าพเจ้าให้ยอมแคะขี้ตาเม็ดเขื่องลุกขึ้นมาวิ่งในตอนเช้า หากยังมีเด็กสาวเพราพริ้งอีกคนที่เป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดข้าพเจ้าให้ออกวิ่งตามอย่างไม่ลดละ ความน่ารักของเธอเปรียบไปก็เหมือนดั่งสุพรรณิการ์อร่ามเหลืองที่พลิ้วไสวอยู่บนยอดต้นส่งกลิ่นหอมรวยระรินยวนยั่วเหล่าแมลงภู่ให้หลงไหลจนยากจะถ่ายถอน ข้าพเจ้าพบเธอเมื่อเช้าวานนี้และมิกล้าพอจะทำความรู้จักกับสาวหมวยคนนั้น ภายหลังเธอเดินกลับหอไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้าพเจ้าก็มานั่งคิดถึงเจ้าของใบหน้านั้นอย่างเป็นบ้าเป็นหลังจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ มันช่างปั่นป่วนทรมานหัวใจยิ่งนัก ในที่สุด ข้าพเจ้าต้องหยิบไดอารี่สีแดงขึ้นมาเขียนบันทึกถึงเธอในดึกดื่นคืนวานและตั้งมั่นว่าจะต้องรู้จักเธอให้ได้เมื่อโอกาสนั้นเข้ามา...

และในเช้าวันนี้เมื่อสายหมอกเริ่มจางหาย แดดกรุ่นอ่อนเริ่มโรยราย ข้าพเจ้าก็ได้พบกับเด็กสาวคนนั้นอีกครั้ง

เธอหยุดยืนอยู่ตรงโค้งลู่วิ่งก่อนถึงจุดสตาร์ทใกล้อัฒจรรย์ติดตึกสโมสรนักศึกษา ข้าพเจ้าวิ่งมาทางด้านหลังของเธอในระยะไม่เกินยี่สิบเมตร เพียงเห็นร่างเล็กสมส่วนผมเกล้าเรียบร้อยตรงหน้านั้น ข้าพเจ้าก็สั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย หัวใจเต้นโครมครามราวจะทะลุออกมาจากอก สุนทรภู่เปรียบหญิงที่ตนใฝ่ฝันว่าเป็นนางฟ้า ยอดกวีหลายท่านเปรียบความงามของหญิงสาวเป็นดอกไม้ แต่กับแม่สาวคนนี้ข้าพเจ้าสุดปัญญาจะหาสิ่งใดในโลกนี้มาเปรียบความงามของเธอได้ ข้าพเจ้าทำท่าจะถอยกลับ แล้วใส่ตีนหมาโกยอ้าวแต่ต้องหยุดกึกสะดุ้งยึกเมื่อแว่วเสียงแพรวพราวเอ่ยทักทาย

'สวัสดีตอนเช้าค่ะ'

เจ้าของเสียงนั้นหันมาทักทายกับข้าพเจ้าที่บัดนี้ยืนแข็งทื่อมือเท้าแทบไม่กระดิกกระเดี้ย หัวใจเต้นถี่กระชั้นแรงขึ้น ข้าพเจ้าตะลึงงันก่อนเอ่ยทักทายกลับไปอย่างตะกุกตะกักด้วยความเขินอายอย่างหมดท่าจนอีกฝ่ายคลี่ยิ้มบนใบหน้าอย่างไม่เคอะเขินและในเช้าวันนั้นข้าพเจ้าก็ได้รู้จักสาวหมวยที่เฝ้าติดตามมาตลอดสัปดาห์

สวยเอ๋ยสวยดอกสุพรรณิการ์
ช่างงามโสภาสุพรรณิการ์ในดวงใจฉัน…


5 ธันวาคม 2547

สายลมหนาวพรูพัดมาแต่ละครั้งกรีดลึกเข้าไปถึงกระดูก อากาศหนาวเย็นบาดลึก มองไปทางไหนก็เห็นแต่ดอกไม้งามชูช่ออวดโฉม ในตรู่เช้าอวบอวลไปด้วยม่านหมอกขาวโพลนลอยอ้อยอิ่งดุจขนมปุยฝ้าย น้ำค้างพร่างพรมในรัตติกาลเกาะเป็นเกล็ดเพชรพราวแวววาวสวย ฤดูหนาวปีนี้หนาวเย็นจับใจเหลือทน


เด็กสาวร่างเล็กสมส่วนคนที่ข้าพเจ้าได้พบนั้นมีชื่อว่า นิศาชล หรือว่า ดิว เธอเป็นลูกครึ่งไทย-ไต้หวัน เพิ่งย้ายมาเรียนที่วิทยาลัยแห่งนี้ไม่นานนัก เมื่อได้สัมผัสบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก ณ สถานที่แห่งนี้ เด็กสาวก็หลงเสน่ห์จนถอนตัวไม่ขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างดิวกับข้าพเจ้าเริ่มขึ้นแล้วพร้อมกับดอกสุพรรณิการ์ที่ชูช่ออวดโฉมสะพรั่งต้น

ข้าพเจ้าเชื่อสนิทใจแล้วว่า ความรักทำให้คนตาบอด แต่ข้าพเจ้าสงสัยว่าอะไรกันหนอที่นำพาให้คนสองคนได้มาพบเจอกัน หรหมลิขิตหรือความบังเอิญของกาลเวลากันแน่ ข้าพเจ้ากับดิวพูดคุยกันทางโทรศัพท์ที่พ่วงสายระหว่างห้องทุกค่ำคืนก่อนหลับนอนฝันหวาน เราแบ่งปันเล่าเรื่องของกันและกันแล้วหัวเราะเฮฮากันไปตามประสา สร้างความอิจฉาตาร้อนแก่เจ้าบิ๊กที่นั่งกินกระเพราไก่กรอบพูนจานอยู่ตรงโต๊ะของตัวเองจนข้าพเจ้าถูกค่อนแคะต่างๆ นานา และทุกเช้าก่อนไปเรียนข้าพเจ้าจะยืนรอดิวอยู่ตรงหน้าหอชายหนึ่งเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมหอบางคนที่คอยชะแง้แลมองหญิงสาวของตนเองที่นัดหมายเอาไว้ เราสองคนถูกจับตามองในฐานะเป็นคู่ใหม่ปลามันในแคมปัสแห่งนี้ ทุกสายตามุ่งหมายมายังเราสองคนไม่ว่ายามนั่งกินข้าวด้วยกันในโรงอาหารหรือตอนนั่งทำงานอยู่ในห้องสมุดแม้กระทั่งตอนข้าพเจ้ายืนรอดิวอยู่หน้าห้องน้ำก็จะมีหญิงสาวชายหนุ่มบางคนจ้องมองมา พอข้าพเจ้าหันไปสบตาก็จะหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจราวกับข้าพเจ้าเป็น หม่ำ จ๊กมก

อาจกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า เราสองคนถูกเพ่งเล็งทุกย่างก้าวที่เราไปด้วยกันและแน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับดิวเป็นที่คลางแคลงสงสัยในหมู่เพื่อนฝูงไม่น้อย เมื่อข้าพเจ้าเล่าถึงเช้าวันแรกที่สองเราได้พบเจอกัน ทุกคนก็จะพูดเป็นทำนองว่า 'นี่พวกข้าไม่ได้ฟังเองเล่านิยายรักประโลมโลกอยู่ใช่มั้ย' เพียงแค่นั้นข้าพเจ้าก็จะสวนกลับอย่างหงุดหงิดว่า 'Love Story ของข้ามันน้ำเน่ารึงัยวะ'...

30 เมษายน 2548

ความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับดิวเป็นไปอย่างราบรื่นจนใครหลายคนต้องอิจฉา ทุกย่างก้าวของเราล้วนมีเงาของกันและกันอยู่เสมอ เราทานข้าวด้วยกัน ไปห้องสมุดพร้อมกันและท่องเที่ยวตะลอนไปทั่วอำเภอมวกเหล็ก สองเราล้วนทำกิจกรรมเหล่านี้ด้วยกันดุจเช่นคู่รักอื่นๆ พึงมี และดูเหมือนหนึ่งว่าปัญหาอุปสรรคใดๆ มิอาจมาขวางกั้นความรักของสองเราได้ แต่แล้วในเย็นวันหนึ่ง ท่ามกลางพายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงของปลายเดือนเมษายน ปี 2548 ข้าพเจ้าก็ได้รับข่าวร้ายแทบล้มทั้งยืน เมื่อดิวโทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าว่าจะย้ายไปเรียนที่อเมริกาในปีการศึกษาหน้าและจะออกเดินทางทันทีภายหลังสอบเสร็จ ความหวังที่แตกหน่ออยู่ในใจของข้าพเจ้าเรื่อยมานั้นก็พังทลายสูญสิ้นไม่หลงเหลือเศษเสี้ยวใดๆ อีกต่อไป

สัปดาห์หน้าก็จะสอบไล่ปลายภาคประจำปี 2547 แล้ว แต่ข้าพเจ้ายังไม่ลงมือเปิดหนังสืออ่านเลยแม้แต่บทเดียว จิตใจยังคงว้าวุ่นอยู่แต่ข่าวร้ายที่กระหน่ำเข้ามาอย่างมิทันตั้งรับ ความรู้สึกชาดิกไปทั่วทุกเซลล์ของร่างกายจนไม่สนองตอบต่อสิ่งเร้าใดๆ ทั้งสิ้น

จบแล้วสำหรับความหวังทั้งหลายในใจดวงนี้...


15 พฤษภาคม 2548

ดิวจากข้าพเจ้าไปแล้วพร้อมกระชากแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าไปด้วย คำพูดของสาวน้อยที่ว่า การพบกันเป็นสิ่งชั่วคราว แต่การพลัดพรากจากกันเป็นสิ่งสมบูรณ์ ยังก้องสะท้านอยู่ในโสตประสาทข้าพเจ้าราวเสียงปีศาจร้ายที่เข้ามาในความฝันของค่ำคืนที่ท้องฟ้ากรีดเสียงร้องก้องกึกถาโถมโหมฟาดสายฟ้าเปรี้ยงปร้างลงมาราวเกิดอาเพศผีป่า ฝูงเปรตรุกฆาตขับไล่เทพเทวา

ภายหลังสอบเสร็จ ดิวก็ขนกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถตู้สีขาวฉุยฉิวออกจากวิทยาลัยทันทีโดยมีข้าพเจ้าติดตามไปส่งถึงสนามบิน ในห้วงแห่งการโบกมือลาอาลัยตรงเขตผู้โดยสารขาออกนั้น ข้าพเจ้าแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ดั่งมีดที่ปักลงกลางใจจนปวดร้าวเกินรับไหว เด็กสาวน่ารักสดใสคนนั้นทำให้ข้าพเจ้าบ้าคลั่งแทบไม่เป็นผู้เป็นคนจนผองเพื่อนเป็นห่วงบ่วงใยต้องพาไปสังสรรค์เมามายทุกค่ำคืน

25 สิงหาคม 2548

ปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาแทบจะทุกวัน หลายคนหน้าชื่นตาบานที่ได้พบปะเพื่อนฝูงอีกครั้งภายหลังห่างหายจากกันไปร่วมเดือน ข้าพเจ้าทอดมองพวกเขาจับไม้จับมือทักทายกันอย่างอารมณ์ดี นี่แหละหนาที่กล่าวกันว่า 'เพื่อนคือกำลังใจ คือดวงไฟส่องทางฝัน'

นับแต่ดิวจากไปเมื่อสองเดือนก่อน ข้าพเจ้าก็ไร้ซึ่งแรงบันดาลใจในการขีดเขียน ความคิดความอ่านดูเหมือนจะถูกความเหว่ว้ากัดกินจนไม่เหลือซากเหลือเดนให้หยิบจับอีกต่อไป ความทรงจำในสายลมหนาวยังโคจรอยู่ในห้วงสำนึก ตอกย้ำด้วยรูปภาพเก่าๆ ในอดีต ความคิดถึง ถวิลหาคนไกลบีบหัวใจข้าพเจ้าให้เล็กลงทุกวี่วันจนความลำพองใจอยากเป็นกวีได้ดับสูญสิ้นไปจากความฝัน ให้ดิ้นตายเหอะ! ข้าพเจ้าควรทำเยี่ยงไรจึงจะหลุดพ้นจากพันธนาการเหล่านี้

ความโศกเศร้าในดวงใจของข้าพเจ้านั้นทำให้ บิ๊ก โป้ง แม็กและจ๋อม เป็นห่วงบ่วงใยอยู่ใช่น้อย ต่างส่งมอบกำลังใจให้ข้าพเจ้าฮึกเหิมสลัดภาพที่เป็นดั่งมะเร็งร้ายเกาะกินหัวใจออกไปให้หมดสิ้น พวกเขาเหล่านี้คือดวงไฟส่องทางนำฝัน ให้ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวันด้วยหัวใจพองโตและพร้อมจะลุกขึ้นเดินบนเส้นทางบรรณพิภพอีกครั้ง

2 comments:

  1. อ่านสนุกดีค่ะ ^^

    ReplyDelete
  2. กลับมาเขียนบทความอีกแล้ว แค่ก็นังสนุกเหมืนเข่นเคย แล้วจะรออ่านตอนต่อไปนะ

    ReplyDelete