Wednesday, December 4, 2013

บทที่ 5: 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งวิทยาลัยกลางหุบเขา ตอน: มิตรภาพมิใช่สัตว์ประหลาด

   

      ดูร้อนปีนั้น อากาศแสนอบอ้าว เปลวแดดเต้นระยิบระยับเหนือถนนคอนกรีตหน้าโรงอาหารที่จอแจไปด้วยนักศึกษายืนต่อคิวซื้ออาหาร บางคนทนอากาศร้อนไม่ไหว เดินออกจากแถวไปนั่งหลบแดดตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นฉำฉา บางคนไม่รีบเร่งก็เดินเข้าไปนั่งรอในโรงอาหาร พอแถวหดสั้นลงก็ค่อยไปต่อคิวใหม่ ตะวันและผองเพื่อนไม่มีเรียนในภาคเช้าเลยเข้ามาโรงอาหารก่อนนักศึกษากลุ่มอื่นๆ ต่างนั่งทานอาหารกันไปอย่างสุขใจและไม่รีบเร่ง

     ระหว่างที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการซื้ออาหารและเพลิดเพลินกับมื้อเที่ยง ก็ปรากฏเสียงหัวเราะของใครคนหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มหุ่นท้วมสะพายย่ามด้านข้าง ทุกคนหันไปมองเจ้าของเสียงหัวเราะดังกล่าว สักพักก็ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของแต่ละคนแทนความสงสัยในใจเพราะคนที่เดินเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะอันดังลั่นนั้นคือเจ้า ยวย อา ผู้มีความบ้าเป็นที่กล่าวขานไปทั่ววิทยาลัยนั่นเอง

ข้าว่าแล้ว....ทำไมเสียงหัวเราะคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน บิ๊กหันหน้ามาเอ่ยกับเพื่อนๆ ในกลุ่มก่อนตักอาหารเข้าปากต่ออย่างไม่สนใจใยดี

ข้าได้ยินมาว่า เจ้ายวย อา ชอบเดินแก้ผ้าไปมาอยู่ในห้อง แม็กเล่าขึ้นขณะตักอาหารให้แฟนสาวนักเปียโนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างไม่เกรงใจสายตาของเพื่อนๆ และนักศึกษาชายที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆ แม้แต่น้อย จนแฟนสาวขวยเขินเผยยิ้มเต็มใบหน้า

เองรู้ได้งัย...หรือไปแอบดูเขา โป้งแซวขึ้น เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ ทันที

ไอ้บ้า...ข้าไม่วิตถารปานนั้น ได้ยินเขาเล่ามาอีกทีเว้ย

เออ...ข้าก็ได้ยินมาคล้ายๆ กันนะ ว่าเจ้ายวย อา ชอบจับตุ๊กแกมาย่างกิน บิ๊กแทรกขึ้นขณะที่ตะวันและจ๋อมกำลังตักอาหารเข้าปาก เมื่อได้ยินเพื่อนเล่าเช่นนั้น ทั้งสองรีบวางช้อนในมือทันทีแล้วดื่มน้ำกลืนอาหารเข้าท้องอย่างรวดเร็ว
ข้าไม่ล้อเล่นนา...ใครๆ ก็เล่ากันเช่นนั้นบิ๊กเห็นเพื่อนๆ จ้องหน้าพาลคิดไปว่าไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดมากกว่าเรื่องเล่าอันน่าขยะแขยงชวนอ้วก...
เค้าว่ากันว่า...บางครั้งเจ้า ยวย อา ชอบปีนตึกขึ้นไปเรียน...และชอบนั่งพึมพำคล้ายอธิษฐานอยู่คนเดียว โป้งกล่าวเสริมขึ้น

สรุปแล้ว...ที่พวกเองเล่ามาทั้งหมด ยังไม่เคยมีใครได้เห็นกับตา ได้เจอกับตัวเลยใช่หรือเปล่า แค่เค้าว่ากันว่า...ได้ยินมาว่า...ตะวันหันไปมองหน้าเพื่อนๆ คล้ายขอความเห็น ทุกคนนิ่งเงียบ แล้วตะวันก็เอ่ยต่อว่า



วันก่อน ข้าไปนั่งคุยกับน้องชายเจ้า ยวย อา แล้วเค้าก็เล่าให้ข้าฟังว่าสมัยที่เขมรแดงบุกยึดกรุงพนมเปญ ในเวลานั้นเจ้ายวย อามีอายุได้สองขวบ ถูกพวกเขมรแดงจับขาแล้วฟาดกับต้นไม้ เคราะห์ดีที่ไม่ถึงกับตายแต่ก็ทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือน เมื่อโตขึ้น ทางโบสถ์ก็รับไปเลี้ยงดูแล้วก็ส่งมาเรียนที่นี่ ตอนนี้เจ้ายวย อา ก็คงจะอายุสามสิบกว่าแล้ว ชีวิตเค้าน่าสงสารนะ พฤติกรรมของเขาอาจดูแปลกประหลาดไปบ้างแต่สิ่งที่ข้าเห็นคือความตั้งใจศึกษาเล่าเรียน

ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ฟังตะวันเล่าอย่างตั้งใจ

น้องชายของ ยวย อา บอกข้าว่าเทอมนี้อาจเป็นเทอมสุดท้ายของพี่ชายก็ได้เพราะการเรียนที่ผ่านมานั้นได้ผลเฉลี่ยไม่ถึงเกณฑ์ตามที่โบสถ์ต้องการและถ้าเทอมนี้ ยวย อา ได้เกรดเฉลี่ยต่ำอีกเขาจะถูกตัดทุนและส่งกลับบ้านทันที
มิน่าละ...เจ้ายวย อา ถึงต้องเข้าโพรเบรชั่น* ข้าเห็นแกชอบนั่งท่องอะไรสักอย่างอยู่ลำพังที่ห้องสมุดบ้าง ใต้ต้นไม้บ้าง ตรงศาลาบ้าง…” มิทันที่แม็กจะเอ่ยต่อตะวันก็แทรกขึ้นว่า

นั่นล่ะ...คือความตั้งใจของยวย อา ที่พยายามท่องจำบทเรียนเพื่อจะได้อยู่เรียนต่อไม่ต้องถูกส่งกลับบ้าน
พอทุกคนได้ฟังตะวันเล่าเช่นนั้น ต่างเห็นอกเห็นใจเจ้าของเสียงหัวเราะลั่นทุ่งนั้นทันทีและสัญญากันว่าจะหาเวลาไปช่วยติวบทเรียนให้กับ ยวย อา อย่างสม่ำเสมอ
     บ่ายวันนั้น แดดเปรี้ยงปร้าง อากาศร้อนอบอ้าว นักศึกษาที่ไม่มีคาบเรียนต่างนั่งทำงานและอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดอย่างเงียบเชียบ กลุ่มของตะวันเห็น ยวย อานั่งอยู่ลำพัง จึงเดินเข้าไปทักทายและบอกถึงความตั้งใจที่จะช่วยติวบทเรียนให้ ชายหนุ่มร่างท้วมแสดงความดีใจ เอ่ยขอบคุณเสียงดังลั่นจนนักศึกษาคนอื่นๆ ต่างหันมามองพร้อมด้วยแววตาและเสียงดุของบรรณารักษ์ห้องสมุด กลุ่มของตะวันจำต้องโค้งขอโทษและพา ยวย อา เดินออกไปจากห้องสมุดทันที

     ช่วงเทศกาลสงกรานต์ในปีนั้น ตะวันตัดสินใจไม่กลับบ้านเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา เขากับเพื่อนๆ ขะมักเขม้นติวบทเรียนต่างๆ ให้กับ ยวย อา อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักในการจะให้ใครสักคนที่มีสมาธิสั้นเรียนรู้และจดจำบทเรียนได้ด้วยความเข้าใจมากกว่าการท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองซึ่งท้ายสุดก็อาจหลงลืมทำข้อสอบไม่ได้ พอตกบ่ายหรือเย็นๆ กลุ่มของตะวันก็พา ยวย อา ขับมอเตอร์ไซด์ออกไปยังน้ำตกเจ็ดสาวน้อยและนั่งพักผ่อนหย่อนกายทานอาหารกันสนุกสนาน ช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ยวย อา ดูจะมีความสุขไม่น้อย เสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชายหนุ่มวัยสามสิบกว่ายังคงก้องกึกอยู่ในห้วงความทรงจำของตะวันไม่จางหาย  ภายหลังเทศกาลสงกรานต์ผ่านไปแล้ว นักศึกษาต่างขมีขมันอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคกันเต็มที่ ความเฮฮาสนุกสนานลดน้อยลง ห้องสมุดดูครึกครื้นมากขึ้น พอถึงวันสอบ หลายคนตื่นแต่เช้าตรู่ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือด้วยใจจดจ่อ บางคนกระวนกระวายใจเพราะมีเนื้อหาหาที่ต้องจดจำมากมาย บางคนยังร่าเริงไม่มีวี่แววความกังวลใจใดๆ ทั้งสิ้น และบางคนคล้ายจะพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธ์มากว่าความเชื่อมั่นในตัวเอง


     เมื่อสอบไล่ปลายภาคผ่านไป กลุ่มของตะวันรีบไปหา ยวย อา ทันที และถามไถ่ว่าทำข้อสอบได้หรือไม่ ชายหนุ่มผู้มีน้ำเสียงอึกทึกเผยยิ้มบนใบหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดูผิดแผกไปจากคนเดิม

เราขอบใจพวกนายเป็นอย่างมาก ที่ตั้งใจช่วยติวบทเรียนให้กับเรามาโดยตลอด เราเองคงไม่มีทักษะในด้านนี้ ถึงตั้งใจแค่ไหนก็ยังทำได้ไม่ดีพอ เราทราบผลคะแนนหลายวิชาแล้วล่ะ และเราก็ทำไม่ได้อย่างที่หวังไว้ สิ้นเดือนนี้ ทางโบสถ์ก็คงส่งตัวเรากลับบ้านเพราะเราทำไม่ได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ แต่เราก็ดีใจและสุขใจที่ได้รับพระพรมาศึกษาที่สถาบันแห่งนี้ แม้จะเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่ก็เป็นความทรงจำที่จะอยู่กับเราไปอย่างยาวนาน...เราอยากให้พวกนายจำไว้เสมอว่าเพื่อนคือคนที่ทำให้ช่วงเวลาเลวร้ายกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ดีและทำให้ช่วงเวลาที่ดีๆ เป็นสิ่งที่น่าจดจำ



นั่นเป็นถ้อยประโยคสุดท้ายของ ยวย อา ผู้มีเสียงหัวเราะและน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เขาจากไปในเดือนมิถุนายนพร้อมกับฤดูฝนที่เข้ามา ตะวันและผองเพื่อนขันอาสาไปส่งเขาที่สนามบินดอนเมือง และห้วงเวลาของการโบกมือลาตรงประตูผู้โดยสารขาออก พลันตะวันก็นึกถึงนิศาชล หญิงสาวในความทรงจำขึ้นมาทันที นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้พบเจอหญิงสาวแห่งเหมันตฤดูผู้เป็นเงาติดตามตัวเขาเสมอมาและในค่ำคืนนั้น ตะวันก็ส่งอีเมล์หาเด็กสาวผู้มีฉายาว่าน้ำค้างและเล่าเรื่องราวของยวย อา ด้วยความอาลัยอาวรณ์.
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
* โพรเบชั่น: คือชั่วโมงที่นักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ยน้อยกว่าเกณฑ์ที่ทางวิทยาลัยกำหนดจะต้องเข้าโดยมีอาจารย์หรือนักศึกษารุ่นพี่คอยดูแลและเป็นที่ปรึกษา

ได้รับแรงบันดาลใจจาก Chan Blog
ที่นี่มีนักเรียนประหลาดมากมาย เช่น มีนักเรียนหัวกะทิที่ไม่เคยเอาหนังสือมาเรียนแต่สามารถตอบคำถามอาจารย์ได้ ทุกอย่าง, มีนักเรียนชอบปีนตึกเรียน, นักเรียนที่เรียน English Major (คณะที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาหลัก) แท้ๆ แต่ไม่รู้จักคำว่า Beautiful,มีรูมเมทของเพื่อนชอบเดินแก้ผ้าไปมาในห้อง, มีคนที่ชอบจับตุ๊กแกมาย่างกิน ฯลฯ (มีจริงๆ ครับไม่ได้นั่งเทียนเขียนเอง..... แต่ส่วนมากก็เป็นคนดีนะ)

อ่านตอนอื่นๆ

1. บทที่ 1: ความทรงจำของตะวัน http://lovestoryoftawan.blogspot.com/2011/01/blog-post_20.html

2. บทที่ 2: โอ้...เจ้าดอกสุพรรณิการ์ (ฉบับปรับปรุง)http://lovestoryoftawan.blogspot.com/2011/01/blog-post_9113.html

3. บทที่ 3: กระเพราไก่กรอบเลิศรส http://lovestoryoftawan.blogspot.com/2011/01/1_20.html 

4. บทที่ 4: ไดอารี่ของตะวัน http://lovestoryoftawan.blogspot.com/2011/01/4.html

5. บทที่ 5: 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งวิทยาลัยกลางหุบเขา (ตอนที่ 1) http://lovestoryoftawan.blogspot.com/2011/02/5.html

6. บทที่ 5: 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งวิทยาลัยกลางหุบเขา (ตอนที่ 2)   http://lovestoryoftawan.blogspot.com/2011/03/blog-post.html

7.  บทที่ 5: 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งวิทยาลัยกลางหุบเขา (ตอนที่ 3) http://lovestoryoftawan.blogspot.com/2012/02/5.html

8.  บทที่ 5: 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งวิทยาลัยกลางหุบเขา (ตอนที่ 3)http://lovestoryoftawan.blogspot.com/2013/09/5.html

No comments:

Post a Comment